แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เทศบาลมอบเงินรายได้ส่วนหนึ่งจากค่าเช่าที่ขายทุเรียนในงานตลาดทุเรียนให้จังหวัด จังหวัดจะนำไปใช้อย่างใดก็ได้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบเงินนี้ให้จำเลยซึ่งเป็นเสมียนตราจังหวัดเก็บรักษาและทำบัญชีไว้ โดยถือว่าเป็นเงินของจังหวัด ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดให้นำเงินนี้เป็นเงินสวัสดิการข้าราชการเพื่อให้ข้าราชการผู้มีเงินเดือนน้อยของจังหวัดนั้นได้กู้ยืมไปบรรเทาความเดือดร้อน ได้วางระเบียบว่าด้วยเงินสวัสดิการข้าราชการขึ้นและตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณาและดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบนั้น
จำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการทำหน้าที่เหรัญญิก ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินดังกล่าวนี้หาได้มุ่งหมายใช้จ่ายในทางราชการไม่ แต่เป็นการใช้จ่ายในทางช่วยเหลือข้าราชการเป็นการส่วนตัว อันเป็นกิจการพิเศษซึ่งไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายใดกำหนดไว้และการที่จำเลยมีหน้าที่รักษาและรับจ่ายเงินนี้ก็โดยได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้ทำหน้าที่เหรัญญิกซึ่งการแต่งตั้งนี้ก็ไม่ต้องอาศัยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายไม่ต้องอาศัยฐานะที่จำเลยเป็นเสมียนตราจังหวัดหรือเป็นข้าราชการในบังคับบัญชาของผู้ว่าราชการจังหวัด การที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่นี้จึงมิใช่เป็นการที่เจ้าพนักงานปฏิบัติราชการตามตำแหน่งหน้าที่ราชการเมื่อจำเลยเบียดบังยักยอกเงินดังกล่าวไป จึงถือไม่ได้ว่าเบียดบังยักยอกไปในฐานะเจ้าพนักงาน คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ได้ตั้งคณะกรรมการเงินสวัสดิการข้าราชการจังหวัดนนทบุรีขึ้น โดยมีปลัดจังหวัดนนทบุรีเป็นประธานกรรมการ และจำเลยซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสมียนตราจังหวัดนนทบุรีเป็นกรรมการทำหน้าที่เหรัญญิก มีหน้าที่รับจ่ายรักษาเงินสวัสดิการของจังหวัดนนทบุรี เงินทุนสวัสดิการนี้เป็นเงินของทางราชการจังหวัดนนทบุรี ได้มาจากเงินอุทิศหรือเงินอื่นใดตามแต่จังหวัดนนทบุรีจะจัดสรรได้มา เงินทุนนี้ตั้งไว้เพื่อให้การสงเคราะห์แก่ข้าราชการจังหวัดนนทบุรี หรือลูกจ้างในสังกัดจังหวัดนนทบุรี ได้กู้ยืมไปใช้จ่ายบรรเทาความเดือดร้อนและความจำเป็น จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รักษา จ่ายและรับเงินดังกล่าว ได้เบียดบังยักยอกเงินนั้นเป็นของตนหรือผู้อื่นโดยทุจริตต่างกรรมต่างวาระกัน โดยได้เบียดบังยักยอกไปเป็นคราว ๆ คราวละเท่าใด ไม่ปรากฏชัด แต่เป็นจำนวนรวมกัน 13,009 บาท ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 352 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาพ.ศ. 2502 มาตรา 3 กับขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 13,009 บาทแก่จังหวัดนนทบุรี
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 352 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 3 ให้ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว จำคุก 6 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 13,009 บาท แก่จังหวัดนนทบุรี
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยรับราชการเป็นเสมียนตราจังหวัดนนทบุรีมีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินและการบัญชี ทางเทศบาลเมืองนนทบุรีได้มอบเงินรายได้ส่วนหนึ่งจากการเก็บค่าเช่าที่ขายทุเรียนในงานตลาดทุเรียนให้จังหวัดนนทบุรี 13,900 บาท เงินที่มอบให้นี้สุดแล้ว แต่ทางจังหวัดจะนำไปใช้ในทางใด ผู้ว่าราชการจังหวัดได้มอบเงินจำนวนนี้ให้จำเลยเก็บรักษาไว้โดยถือว่าเป็นเงินของจังหวัดและได้สั่งให้จำเลยทำบัญชีไว้ด้วย และเห็นควรให้นำเงินนี้เป็นเงินสวัสดิการของข้าราชการ โดยได้วางระเบียบว่าด้วยเงินสวัสดิการของข้าราชการจังหวัดนนทบุรีว่า ให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยมีสิทธิกู้เงินนี้ได้และให้มีคณะกรรมการเงินสวัสดิการข้าราชการจังหวัดนนทบุรีขึ้นประกอบด้วยปลัดจังหวัดเป็นประธานกรรมการ เสมียนตราจังหวัดเป็นกรรมการทำหน้าที่เหรัญญิก เป็นผู้พิจารณาและดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบดังกล่าว จำเลยได้เบียดบังยักยอกเงินดังกล่าวไปเป็นจำนวน 10,509 บาท
แล้ววินิจฉัยว่า เงินสวัสดิการนี้เป็นเงินที่ทางเทศบาลเมืองนนทบุรีแบ่งให้แก่จังหวัดนนทบุรี โดยจะนำไปใช้อย่างใดก็ได้ และผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีในขณะนั้นเห็นสมควรให้นำมาเป็นเงินสวัสดิการข้าราชการจังหวัดนนทบุรี เพื่อให้ข้าราชการจังหวัดนนทบุรีผู้มีเงินเดือนน้อยได้กู้ยืมไปบรรเทาความเดือดร้อน ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินดังกล่าวจึงหามุ่งหมายใช้จ่ายในทางราชการไม่ แต่เป็นการใช้จ่ายในทางช่วยเหลือข้าราชการเป็นการส่วนตัว อันเป็นกิจการพิเศษ ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายใดกำหนดไว้การที่จำเลยมีหน้าที่รักษาและรับจ่ายเงินดังกล่าวนี้ ก็โดยได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้ทำหน้าที่เหรัญญิก ซึ่งการแต่งตั้งนี้ก็ไม่ต้องอาศัยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ดังจะเห็นได้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดจะแต่งตั้งบุคคลอื่นแม้กระทั่งผู้ที่ไม่ใช่ข้าราชการในบังคับบัญชาให้ทำหน้าที่นี้ก็ย่อมทำได้ การที่จำเลยมีหน้าที่รักษาและรับจ่ายเงินดังกล่าวนี้ จึงเป็นกิจการพิเศษ ซึ่งไม่ต้องอาศัยฐานะที่จำเลยเป็นเสมียนตราจังหวัดหรือเป็นข้าราชการในบังคับบัญชาของผู้ว่าราชการจังหวัดการที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่นี้จึงมิใช่เป็นการที่เจ้าพนักงานปฏิบัติราชการตามตำแหน่งหน้าที่ราชการ เมื่อจำเลยเบียดบังยักยอกเงินดังกล่าวไป จึงถือไม่ได้ว่าเบียดบังยักยอกไปในฐานะเจ้าพนักงาน จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เท่านั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ให้จำคุกจำเลยไว้ 1 ปี 6 เดือนให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 10,509 บาทแก่จังหวัดนนทบุรี นอกจากที่พิพากษาแก้นี้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์