แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่2ว่าจ้างให้พ.ถมดินซึ่งพ.ขอให้จำเลยที่2สั่งจ่ายเช็คพิพาทก่อนเพื่อไปแสดงกับเจ้าของรถบรรทุกสิบล้อที่จะนำมาใช้ในการถมดินแต่หลังจากนั้นพ. ไม่ถมดินให้จำเลยที่2มีสิทธิจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าพ. จะชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทนฉะนั้นในขณะจำเลยทั้งสองสั่งจ่ายเช็คหนี้ระหว่างจำเลยที่2กับพ. ยังบังคับกันไม่ได้จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯมาตรา4
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยทั้งสองให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 20,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด1 ปี หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานว่า นายพรชัยนำเช็คพิพาทมามอบให้ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้ล่วงหน้า นางกาญจนา ปทานุคม พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่านายพรชัยมาขอเติมน้ำมันในราคา 70,000 บาท และขอนำเช็คพิพาทมอบให้ผู้เสียหาย ร้อยตำรวจโทยรรยง สันติปรีชาวัฒน์พนักงานสอบสวนเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่าชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การว่าได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าถมดินให้แก่นายพรชัย แต่นายพรชัยยังถมดินไม่เสร็จได้ติดตามนายพรชัยมาสอบปากคำ แต่ไม่ได้ตัวเพราะย้ายไปอยู่ที่อื่นจำเลยที่ 2 เบิกความเป็นพยานว่า เมื่อต้นเดือนมกราคม 2536 ได้ตกลงกับนายพรชัยให้ถมดินเป็นเงินประมาณ 120,000 บาท หลังจากตกลงแล้วนายพรชัยบอกว่าจะต้องให้จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คล่วงหน้าเพื่อไปแสดงกับเจ้าของรถบรรทุกสิบล้อที่จะนำมาใช้ในการถมดินจึงออกเช็คพิพาทให้นายพรชัยไปหลังจากนั้นนายพรชัยไม่ถมดินให้จำเลยที่ 2 เห็นว่า โจทก์ไม่ได้นำนายพรชัยมาเป็นพยาน คำเบิกความของร้อยตำรวจโทยรรยงก็เจือสมกับพยานจำเลยข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่า ตกลงว่าจ้างให้นายพรชัยถมดิน แต่นายพรชัยขอให้จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อไปแสดงกับเจ้าของรถบรรทุกสิบล้อ แม้สัญญาว่าจ้างให้ถมดินระหว่างจำเลยที่ 2 กับนายพรชัยจะเกิดขึ้นภายหลังแต่เนื่องจากเป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยที่ 2 มีสิทธิที่จะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่านายพรชัยจะชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 369 ฉะนั้นในขณะจำเลยทั้งสองสั่งจ่ายเช็คพิพาทหนี้ระหว่างจำเลยที่ 2 กับนายพรชัยยังบังคับกันไม่ได้ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน