แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยสร้างคอกวัวและกองฟางไว้ในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินบังหน้าที่ดินของโจทก์ยาวประมาณ 10 วา เหลือช่องทางให้โจทก์เข้าออกสู่ถนนเพียง 2 วา อันทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้บริเวณหน้าที่ดินซึ่งมีความยาวถึง 12 วา เข้าออกสู่ถนนได้ตามสิทธิของโจทก์ ถือได้ว่าการใช้สิทธิของจำเลยดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะดำเนินการให้ความเสียหายและเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 และจำเลยมิอาจอ้างสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวโดยอายุความได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนคอกวัวและขนย้ายกองฟางดังกล่าวออกไปได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ จำเลยที่ 1 และผู้มีชื่ออีกหลายคนเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 4079 ต่อมาเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมดังกล่าวได้แบ่งแยกโฉนดโดยโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าว เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 24 ตารางวาเมื่อแบ่งแยกโฉนดแล้วปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีที่ดินติดกับที่ดินของโจทก์ ส่วนทางด้านทิศเหนือที่ดินของจำเลยและโจทก์ติดที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และถัดจากที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินขึ้นไปเป็นทางหลวงสายสระแก้ว-หนองโดก แต่ทางด้านทิศเหนือที่ดินของโจทก์ซึ่งเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินมีคอกวัวและกองฟางซึ่งจำเลยทั้งสองได้สร้างขึ้นและนำมากองไว้เป็นเหตุให้กีดขวางและปิดบังหน้าที่ดินของโจทก์ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำรถไถนาหรือเครื่องมือจักรกลทางการเกษตรเข้าออกระหว่างที่ดินของโจทก์ผ่านที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินสู่ทางหลวงสายสระแก้ว-หนองโดกได้ และโจทก์ไม่สามารถเข้าออกทางอื่นได้เพราะที่ดินของโจทก์ติดกับที่ดินของจำเลยและบุคคลอื่นโจทก์ขอคิดค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนหรือขนย้ายคอกวัวและกองฟางดังกล่าวออกไปและห้ามจำเลยทั้งสองรบกวนหรือขัดขวางโจทก์ในการที่จะใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินทางด้านทิศเหนือที่ดินของโจทก์กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนหรือขนย้ายคอกวัวและกองฟางออกไป
จำเลยให้การว่า คอกวัวและกองฟางของจำเลยที่อยู่ในที่พิพาทนั้นได้มีมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิเหนือที่พิพาทดีกว่าโจทก์ โจทก์ไม่เคยเข้าทำกินในที่ดินส่วนของโจทก์ คงให้ผู้อื่นเช่าทำนา ทางด้านทิศตะวันออกสุดเขตที่ดินของโจทก์นั้นมีทางกว้างประมาณ 2 วา ซึ่งจำเลยได้เว้นไว้เพื่อให้โจทก์เข้าออกทางหลวงสายสระแก้ว-หนองโดกเป็นการเพียงพอแก่การที่รถไถนาหรือเครื่องมือจักรกลจะเข้าออกที่ดินของโจทก์ในส่วนนี้ โจทก์จึงไม่มีความเสียหายใด ๆ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนหรือขนย้ายคอกวัวและกองฟางออกไปจากที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่หน้าที่ดินส่วนของโจทก์ตามฟ้อง และห้ามจำเลยทั้งสองรบกวนหรือขัดขวางโจทก์ในการใช้ประโยชน์ในที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองในประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์มิได้เสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายเพราะโจทก์ยังทำนาในที่ดินของโจทก์ได้โดยปกติตลอดมาทั้งยังเข้าออกสู่ที่ดินของโจทก์ได้ เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองสร้างคอกวัวและกองฟางไว้ในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินบังหน้าที่ดินส่วนของโจทก์ยาวประมาณ 10 วา เหลือช่องทางให้โจทก์เข้าออกสู่ถนนเพียง 2 วา อันทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้บริเวณหน้าที่ดินซึ่งมีความยาวถึง 12 วา เข้าออกสู่ถนนได้ตามสิทธิของโจทก์ถือได้ว่าการใช้สิทธิของจำเลยดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อคำนึงถึงสภาพและตำแหน่งที่อยู่ของที่ดินของโจทก์มาประกอบด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะดำเนินการให้ความเสียหายและเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1337 เมื่อโจทก์บอกกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉยโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนคอกวัวและขนย้ายกองฟางดังกล่าวออกไปได้ ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมาโดยสงบเปิดเผยมาเป็นเวลานาน ฝ่ายจำเลยย่อมมีสิทธิครอบครองในที่พิพาทดีกว่าโจทก์นั้น เห็นว่า นอกจากที่ดินที่จำเลยทั้งสองครอบครองจะเป็นที่สาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองยังเป็นการใช้สิทธิอันเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ดังวินิจฉัยมาแล้ว จำเลยทั้งสองจึงมิอาจอ้างสิทธิครอบครองโดยอายุความได้ ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน