คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1285/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะพาจำเลยที่ 2 ผ่านหน้าบ้านผู้เสียหายไปประมาณ 300 เมตร แล้วจอดรถให้จำเลยที่ 2กับพวกลงจากรถเดินย้อนกลับไปปล้นทรัพย์ที่บ้านผู้เสียหายส่วนจำเลยที่ 1 ขับรถอ้อมไปอีกทางไปจอดรถรอรับจำเลยที่ 2กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 1 กิโลเมตร หลังจากจำเลยที่ 2กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้วได้มาขึ้นรถจำเลยที่ 1ตามที่นัดแนะกันไว้ จากนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถพาจำเลยที่ 2กับพวกหลบหนีไป แต่ขณะจำเลยที่ 2 กับพวกทำการปล้นทรัพย์อยู่ที่บ้านผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 อยู่ระหว่างขับรถอ้อมมาและจอดรถห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 กิโลเมตรจำเลยที่ 1 ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 2 กับพวกได้จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 2 กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 กับพวกในการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายก่อนกระทำความผิด จำเลยที่ 1จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เท่านั้น และเมื่อจำเลยที่ 1ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2 กับพวกมีอาวุธติดตัวไปด้วย จึงไม่อาจ ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองได้ จำเลยที่ 1 คงมีความผิดตาม มาตรา 340 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 เพียงขับรถมาส่งจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 300 เมตร แล้วขับรถอ้อมไปจอดรอรับจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ1 กิโลเมตร จึงเป็นเพียงการใช้ยานพาหนะเพื่อให้พ้นการจับกุมเท่านั้นจำเลยที่ 1 มิได้ใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดด้วยแม้ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ยกขึ้นฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 83 กับริบรถยนต์ของกลาง และให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์นอกจากหัวเครื่องจักรเย็บผ้าอุตสาหกรรม รวมราคา 29,350 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง กับให้นับโทษ จำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1238/2536 ของศาลจังหวัดนครสวรรค์
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83จำคุกคนละ 12 ปีลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 8 ปีให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1238/2536 ของศาลจังหวัดนครสวรรค์กับคืนหัวเครื่องจักรเย็บผ้าอุตสาหกรรมของกลางแก่เจ้าของและให้จำเลยทั้งสองคืนทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนหรือใช้ราคา 29,350 บาทแก่ผู้เสียหายทั้งสอง ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง 83 ประกอบมาตรา 340 ตรี ให้จำคุกคนละ 18 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกคนละ 12 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่28 ตุลาคม 2536 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา จำเลยที่ 2กับพวกอีก 3 คน มาที่บ้านผู้เสียหายทั้งสองแล้วร่วมกันปล้นเอาสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท 1 เส้น ราคา 15,000 บาทสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท 2 สลึง 1 เส้น ราคา 6,000 บาทหัวเครื่องจักรเย็บผ้าอุตสาหกรรม 1 อัน ราคา 10,000 บาทเตารีดไฟฟ้า 1 เครื่อง ราคา 350 บาท แว่น กันแดด 1 อันราคา 1,000 บาท ธนบัตร 7,000 บาท รวมเป็นเงิน 39,350 บาทของผู้เสียหายทั้งสองไป โดยพวกของจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนพกขู่ผู้เสียหายทั้งสองและใช้อาวุธปืนพกตีผู้เสียหายที่ 2 ศีรษะแตกส่วนจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธมีดขู่ผู้เสียหายที่ 1 และร่วมกันจับผู้เสียหายที่ 1 ไปเป็นตัวประกันประมาณ 50 เมตร จึงปล่อยผู้เสียหายที่ 1 แล้วหลบหนีไป
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยที่ 1ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสองหรือไม่เห็นว่า พยานโจทก์มีผู้เสียหายทั้งสองเบิกความทำนองเดียวกันว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 18 นาฬิกาขณะผู้เสียหายทั้งสองอยู่ที่หน้าบ้าน เห็นจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะสีขาวดำแล่นผ่านหน้าบ้านไป ที่กระบะหลังมีผู้ชายนั่งอยู่ 2 คนหลังเกิดเหตุเวลา 19 นาฬิกาเศษนางทองแดง ทองมีมาบอกว่า เมื่อเวลาประมาณ 18 นาฬิกา มีรถยนต์กระบะสีขาวคาดดำแล่นมาจอดที่หน้าบ้านนายทองแดงมีชาย 4 คน ลงจากรถแล้วไปซุ่มอยู่ที่พุ่มไม้จากนั้นเดินมาทางบ้านผู้เสียหายทั้งสองส่วนรถดังกล่าวแล่นหายไป ผู้เสียหายทั้งสองคิดว่าชาย 4 คน ที่ลงจากรถของจำเลยที่ 1 คือคนร้ายที่ปล้นทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสองเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาที่บ้านผู้เสียหายทั้งสอง ผู้เสียหายทั้งสองจึงเล่าเรื่องให้ฟังและมีนายทองแดง ทองมี นางเฉลียว ทองมี ภริยานายทองแดง และนายบุญเลิศ ทองมี บุตรนายทองแดง เบิกความตรงกันว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 18 นาฬิกามีรถยนต์กระบะสีขาวคาดดำแล่นมาจากทางบ้านผู้เสียหายทั้งสองมาจอดตรงข้ามห้างเลี้ยงวัวของพยานทั้งสามซึ่งอยู่ห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 3 เสาไฟฟ้ามีชาย 4 คน ลงจากรถข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ส่วนรถแล่นออกไป จากนั้นชายทั้งสี่ข้ามถนนกลับมาแล้วเดินไปทางบ้านผู้เสียหายทั้งสอง นายบุญเลิศขับรถจักรยานยนต์ตามไปดูแต่ไม่พบหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงมีชาวบ้านมาบอกว่าผู้เสียหายทั้งสองถูกจี้ นายทองแดงและนายบุญเลิศจึงไปที่บ้านผู้เสียหายทั้งสองนายทองแดงเล่าเรื่องดังกล่าวให้ผู้เสียหายทั้งสองฟัง กับมีพันตำรวจโทวิรัช เบ้าคำ พนักงานสอบสวนเบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลา 19.30 นาฬิกา พยานได้รับแจ้งจากสายตรวจว่ามีเหตุปล้นทรัพย์ที่บ้านผู้เสียหายทั้งสอง จึงเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ พยานสอบปากคำผู้เสียหายทั้งสองได้ความว่าก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายทั้งสองอยู่ที่หน้าบ้าน เห็นรถยนต์กระบะของจำเลยที่ 1 แล่นผ่านไป จำหมายเลขทะเบียนได้เนื่องจากจำเลยที่ 1 เคยนำตู้เสื้อผ้ามาให้เย็บ หลังจากนั้นมีคนร้าย 4 คน เข้ามาปล้นผู้เสียหายทั้งสองผู้เสียหายทั้งสองสงสัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายด้วย และปรากฏตามบันทึกคำให้การของผู้เสียหายที่ 2 เอกสารหมาย จ.7 ว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2536 ผู้เสียหายที่ 2 ให้การในชั้นสอบสวนว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายทั้งสองเห็นรถยนต์กระบะสีขาวคาดดำ ยี่ห้อนิสสันบิคเอ็ม หมายเลขทะเบียน ป-2634 เพชรบูรณ์ ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเคยนำตู้พลาสติกมาจ้างเย็บ แล่นผ่านหน้าบ้านผู้เสียหายทั้งสองไปช้า ๆ เห็นชาย 2 คน นั่งอยู่ที่ขอบกระบะส่วนคนในรถข้างหน้ามองไม่เห็น ดังนั้น พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวคงรับฟังได้เพียงว่าก่อนเกิดเหตุมีรถยนต์กระบะสีขาวคาดดำแล่นผ่านหน้าบ้านผู้เสียหายทั้งสองไปจอดที่หน้าห้างเลี้ยงวัวของนายทองแดง มีจำเลยที่ 2 กับพวกอีก 3 คน ลงจากรถดังกล่าว แล้วรถดังกล่าวแล่นออกไป จากนั้นจำเลยที่ 2 กับพวกไปปล้นบ้านผู้เสียหายทั้งสอง ส่วนที่ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความว่าเห็นจำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถดังกล่าวนั้นไม่น่าเชื่อเพราะหากผู้เสียหายทั้งสองเห็นจำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถดังกล่าวผู้เสียหายทั้งสองก็น่าจะแจ้งพันตำรวจโทวิรัชเมื่อพันตำรวจโทวิรัชไปสอบปากคำผู้เสียหายทั้งสองที่บ้านผู้เสียหายทั้งสองว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถดังกล่าว และในชั้นสอบสวนผู้เสียหายที่ 2 ก็ให้การว่ามองไม่เห็นคนในรถที่นั่งข้างหน้าแต่อย่างไรก็ตามต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2536 จำเลยที่ 1ถูกจับได้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอชุมแสง พันตำรวจโทวิรัชเบิกความว่า ได้แจ้งข้อหาจำเลยที่ 1 ว่าปล้นทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพและปรากฏตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.16ว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2536 จำเลยที่ 1 ให้การในชั้นสอบสวนว่าในวันเกิดเหตุนายอ้วนชวนจำเลยที่ 1 ไปปล้นจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะพานายอ้วน นายทวน นายถวิล นายนงค์และจำเลยที่ 2 ไป เมื่อผ่านหน้าบ้านผู้เสียหายทั้งสองไปประมาณ 200 ถึง 300 เมตร จำเลยที่ 1 จอดรถ นายทวนนัดว่าอีก 30 นาที ให้ไปรับห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 กิโลเมตรจำเลยที่ 1 ขับรถอ้อมไปจนอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จะถึงบ้านผู้เสียหายทั้งสองจึงเลี้ยวรถกลับแล้วจอดรถซุ่มรออยู่ประมาณ10 นาที นายถวิลแบกหัวจักรเดินมากับพวก จำเลยที่ 1 ขับรถพานายถวิลกับพวกหนีไป นอกจากนี้ยังได้ความจากพันตำรวจโทวิรัชว่า ในวันที่ไปจับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 ได้นำเจ้าพนักงานตำรวจไปค้นหัวเครื่องจักรเย็บผ้าซึ่งจำเลยที่ 1 กับพวกนำไปซ่อนไว้ที่บริเวณทุ่งนาในเขตอำเภอชุมแสง โดยใส่ไว้ในถุงปุ๋ย แล้วนำไปวางไว้บนต้นไม้ห่างบ้านนายบัณฑิตหรือสถิต โตม่วง ประมาณ 100 เมตร ซึ่งผู้เสียหายทั้งสองก็ยืนยันว่าหัวเครื่องจักรเย็บผ้าที่ยึดมานั้นเป็นของผู้เสียหายทั้งสอง สำหรับรถยนต์กระบะสีขาวคาดดำของจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 นำไปเปลี่ยนสีที่อู่รถ แต่ทางอู่ยังไม่ได้ทำให้เพียงแต่ลอกสติกเกอร์กับถอดอุปกรณ์บางอย่างออกเพื่อเตรียมเปลี่ยนสีแล้ว จึงเป็นพิรุธให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 นำรถของตนไปเปลี่ยนสีใหม่เพื่อจะได้มีข้ออ้างว่ารถของตนไม่ใช่รถสีขาวคาดดำอย่างรถของคนร้ายที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าพยานโจทก์ไม่เห็นรถยนต์กระบะคันที่จอดส่งชาย 4 คน ลงที่หน้าห้างเลี้ยงวัวของนายทองแดงแล่นย้อนกลับมาแสดงว่าคนขับรถดังกล่าวกับชายทั้งสี่มิได้เป็นพวกเดียวกันนั้นเห็นว่า ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.16 จำเลยที่ 1ให้การในชั้นสอบสวนว่า เมื่อจำเลยที่ 1 จอดรถให้จำเลยที่ 2 กับพวกลงจากรถแล้วนายทวนนัดว่าอีก 30 นาที ให้ไปรับห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 กิโลเมตร จำเลยที่ 1 ขับรถอ้อมไปจนอีกประมาณ1 กิโลเมตร จะถึงบ้านผู้เสียหายทั้งสองจึงเลี้ยวรถกลับแล้วจอดรถซุ่มรออยู่ประมาณ 10 นาที นายถวิลแบกหัวจักรเดินมากับพวกจำเลยที่ 1 ขับรถพานายถวิลกับพวกหนีไป ดังนั้น ที่พยานโจทก์ไม่เห็นรถคันดังกล่าวย้อนกลับมาก็เนื่องจากจำเลยที่ 1มิได้ขับรถย้อนกลับ แต่ได้ขับรถอ้อมไปรับจำเลยที่ 2 กับพวกอีกทางหนึ่ง ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า พนักงานสอบสวนทำบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ขึ้นเองแล้วบังคับขู่เข็ญให้จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ถามค้านพันตำรวจโทวิรัชพนักงานสอบสวนถึงเรื่องนี้ ทั้งจำเลยที่ 1เบิกความว่าจำเลยที่ 1 จำชื่อจำหน้าเจ้าพนักงานตำรวจคนที่ขู่บังคับจำเลยที่ 1 ไม่ได้ข้ออ้างของจำเลยที่ 1เป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ จึงไม่มีน้ำหนัก และที่จำเลยที่ 1อ้างว่าจำเลยที่ 1 มิได้ลงชื่อในบัญชีของกลาง หากจำเลยที่ 1นำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจยึดของกลางก็น่าจะให้จำเลยที่ 1ลงลายมือชื่อในบัญชีของกลางด้วย เห็นว่าแม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ลงชื่อในบัญชีของกลางเอกสารหมาย จ.18 ซึ่งเป็นเรื่องการยึดรถยนต์กระบะสีขาวคาดดำของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ก็ได้ลงลายมือชื่อในบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายได้คืนเอกสารหมาย จ.17 ซึ่งระบุว่าจำเลยที่ 1 พาเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นหัวเครื่องจักรเย็บผ้าที่จำเลยที่ 1 กับพวกปล้นมาจากบ้านเกิดเหตุ และจำเลยที่ 1ก็นำสืบรับว่าจำเลยที่ 1 นำรถดังกล่าวไปซ่อมเพื่อปะผุ การที่จำเลยที่ 1 มิได้ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.18 จึงมิได้เป็นเรื่องสำคัญ พยานโจทก์ทุกปากไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อนไม่มีเหตุให้ระแวงว่าจะแกล้งใส่ร้ายปรักปรำจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะพาจำเลยที่ 2 ผ่านหน้าบ้านผู้เสียหายทั้งสองไปประมาณ 300 เมตรแล้วจอดรถให้จำเลยที่ 2 กับพวกลงจากรถเดินย้อนกลับไปปล้นทรัพย์ที่บ้านผู้เสียหายทั้งสอง ส่วนจำเลยที่ 1 ขับรถอ้อมไปอีกทางไปจอดรถรอรับจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 กิโลเมตรหลังจากจำเลยที่ 2 กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสองแล้วได้มาขึ้นรถจำเลยที่ 1 ตามที่นัดแนะกันไว้ จากนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถพาจำเลยที่ 2 กับพวกหลบหนีไป พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ แต่ศาลฎีกาเห็นว่าขณะจำเลยที่ 2 กับพวกทำการปล้นทรัพย์อยู่ที่บ้านผู้เสียหายทั้งสองจำเลยที่ 1 อยู่ระหว่างขับรถอ้อมมาและจอดรถห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 กิโลเมตร จำเลยที่ 1 ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 2 กับพวกได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 2 กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสองด้วยการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 กับพวกในการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสองก่อนกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เท่านั้นและข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบว่าจำเลยที่ 2กับพวกมีอาวุธติดตัวไปด้วย จึงไม่อาจปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองได้ และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นการปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดและเพื่อให้พ้นจากการจับกุมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 เพียงขับรถมาส่งจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 300 เมตรแล้วขับรถอ้อมไปจอดรอรับจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 กิโลเมตร จึงเป็นเพียงการใช้ยานพาหนะเพื่อให้พ้นการจับกุม มิได้เป็นการใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด แม้ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคหนึ่ง 340 ตรี ประกอบมาตรา 86 ลงโทษจำคุก 10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share