คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5280/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยกับนาง ส. มารดาโจทก์เป็นโมฆะ โดยอ้างว่า จำเลยจดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่น โดยหญิงนั้นแอบอ้างชื่อว่าเป็นนาง ส. เป็นการกล่าวอ้างว่ามีการจดทะเบียนสมรสไม่ถูกต้องตามกฎหมายโดยนาง ส. ไม่ได้ให้ความยินยอมอันเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 ซึ่งจะต้องมีคำพิพากษาของศาลเท่านั้นที่จะแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะ โดยคู่สมรส บิดามารดา หรือผู้สืบสันดานของคู่สมรสอาจร้องขอให้ศาลพิพากษาว่า การสมรสเป็นโมฆะได้ตามมาตรา 1496 ดังนั้น แม้นาง ส. ถึงแก่ความตายทำให้การสมรสสิ้นสุดลงก่อนโจทก์ฟ้อง แต่เมื่อยังปรากฏความเป็นโมฆะอยู่โดยยังไม่มีคำพิพากษาให้เป็นโมฆะ ย่อมกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้การสมรสเป็นโมฆะได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายจันทร์ ทิพย์สม กับนางสุดาทิพย์สมหรือกายสะอาด บิดามารดาหย่าขาดจากกันแล้ว ต่อมาเมื่อปี 2515 จำเลยกับหญิงอื่นที่อ้างชื่อเป็นมารดาโจทก์ดำเนินการจดทะเบียนสมรสโดยมารดาโจทก์ไม่ทราบและไม่ได้ลงชื่อในฐานะคู่สมรสฝ่ายหญิง ทั้งบันทึกท้ายทะเบียนสมรสผิดจากความเป็นจริง การจดทะเบียนสมรสจึงเป็นโมฆะ ขอให้ศาลพิพากษาให้การจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับมารดาโจทก์เป็นโมฆะ

จำเลยให้การว่า จำเลยและมารดาโจทก์ได้จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และฟ้องโจทก์ข้อที่ 3 เป็นฟ้องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขอให้ศาลพิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสเป็นโมฆะ จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับนางสุดา ทิพย์สมหรือกายสะอาด มารดาโจทก์เป็นโมฆะ โดยอ้างว่า จำเลยจดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่น โดยหญิงนั้นแอบอ้างชื่อว่าเป็นนางสุดา แต่นางสุดามิเคยทราบเรื่องนี้และไม่เคยลงลายมือชื่อในฐานะคู่สมรสฝ่ายหญิงแต่อย่างใด และเด็กหญิงมยุรา คันธรส ไม่ได้เป็นบุตรของนางสุดาและจำเลย ดังนี้ เป็นการกล่าวอ้างว่ามีการจดทะเบียนสมรสไม่ถูกต้องตามกฎหมายโดยนางสุดาไม่ได้ไปให้ความยินยอมโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้อันจะก่อให้เกิดสถานะความเป็นสามีภริยา หากเป็นจริงตามคำฟ้องก็เป็นกรณีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1458 เรื่องให้ความยินยอมในการสมรส ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 ซึ่งจะต้องมีคำพิพากษาของศาลเท่านั้นที่จะแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะโดยคู่สมรส บิดามารดาหรือผู้สืบสันดานของคู่สมรสอาจร้องขอให้ศาลพิพากษาว่า การสมรสเป็นโมฆะได้ตามมาตรา 1496 ดังนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า นางสุดาถึงแก่ความตายอันเป็นเหตุให้การสมรสระหว่างจำเลยกับนางสุดาสิ้นสุดลงก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ก็ตาม แต่เมื่อการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับนางสุดายังปรากฏความเป็นโมฆะอยู่โดยยังไม่มีคำพิพากษาให้เป็นโมฆะเช่นนี้ย่อมกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้การสมรสระหว่างจำเลยกับนางสุดาเป็นโมฆะได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่ายังไม่มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น แต่เนื่องจากคดีนี้ได้มีการสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเลยว่าการสมรสระหว่างนางสุดาและจำเลยเป็นโมฆะหรือไม่ โดยไม่ต้องย้อนสำนวน ซึ่งในปัญหานี้ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ มีเพียงโจทก์เบิกความประกอบเอกสารว่า เมื่อปี 2515 จำเลยมาติดพันนางสุดา ต่อมาจำเลยดำเนินการให้มีการจดทะเบียนสมรสกับนางสุดาที่สำนักงานทะเบียนอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ตามทะเบียนสมรสเอกสารหมาย จ.3 โดยนางสุดาไม่ได้ไปดำเนินการจดทะเบียนสมรสกับจำเลยแต่อย่างใดลายมือชื่อคู่สมรสฝ่ายหญิงตามทะเบียนสมรสเอกสารหมาย จ.3 ไม่ใช่ลายมือชื่อของนางสุดา เห็นว่า คงมีแต่โจทก์เบิกความเพียงลอย ๆ ว่า นางสุดาไม่เคยจดทะเบียนสมรสกับจำเลยจึงปราศจากน้ำหนักทั้งไม่ปรากฏว่า หญิงที่อ้างแสดงตนว่าเป็นนางสุดาเป็นบุคคลใดแต่ข้อเท็จจริงกลับรับฟังได้จากทะเบียนสมรสว่า จำเลยและนางสุดาจดทะเบียนสมรสตั้งแต่ปี 2515 หลังจากนั้นนางสุดาได้ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองตามเอกสารหมาย จ.5 ก็ใช้ชื่อว่าสุดา คันธรส ยกที่ดินให้แก่โจทก์เพียงผู้เดียว เมื่อนางสุดาถึงแก่ความตาย โจทก์ได้ดำเนินการขอเป็นผู้จัดการมรดก ตามคำสั่งศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขแดงที่ 6130/2540 เอกสารหมาย จ.6 โจทก์ระบุว่าขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางสุดา ทิพย์สม หรือคันธรส ผู้ตาย กรณีมีเหตุผลน่าเชื่อว่า นางสุดากับจำเลยสมรสกันจริงเป็นเหตุให้นางสุดาใช้นามสกุล “คันธรส” ซึ่งเป็นนามสกุลของจำเลยตลอดมา พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า นางสุดาจดทะเบียนสมรสกับจำเลยโดยไม่ยินยอม อันเป็นเหตุให้การจดทะเบียนสมรสของจำเลยกับนางสุดามารดาโจทก์เป็นโมฆะ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”

พิพากษายืน

Share