คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5257/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายฝากที่ดินพิพาทไว้แก่โจทก์แล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนด ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องสอดเป็นสามีของจำเลย จำเลยขายฝากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสโดยมิได้รับความยินยอมจากผู้ร้องสอด ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝาก ดังนี้ แม้ศาลพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารก็ไม่กระทบสิทธิของผู้ร้องสอดในฐานะคู่สมรสที่ยังคงมีอยู่ในกรณีการขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยตามที่ผู้ร้องสอดอ้าง สิทธิของผู้ร้องสอดมีอยู่เพียงใดก็คงมีอยู่เพียงนั้น คำร้องของผู้ร้องสอดไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2540 จำเลยขายฝากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 46 ให้แก่โจทก์มีกำหนด 1 ปี ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ไถ่คืน โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทแต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินเดือนละ 4,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอน ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 4,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอน ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์และจำเลยมีเจตนาจำนองที่ดินพิพาทไม่มีวัตถุประสงค์ขายฝาก สัญญาขายฝากที่ดินเป็นนิติกรรมอำพราง ความจริงจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 300,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน และตกลงให้จำเลยนำที่ดินพิพาทมาจำนองเป็นประกันแต่โจทก์กลับทำเป็นขายฝากจำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 85,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์ให้รับชำระหนี้เงินกู้ 300,000 บาท จากจำเลย ให้โจทก์โอนที่ดินพิพาทแก่จำเลย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยมีเจตนาขายฝากที่ดินพิพาท โจทก์ไม่เคยตกลงให้จำเลยกู้ยืมเงินและจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกัน ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสซึ่งผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลย ผู้ร้องไม่รู้เห็นยินยอมให้จำเลยนำที่ดินพิพาทไปขายฝากหรือจำนองแก่โจทก์ นิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทไม่สมบูรณ์ ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ผู้ร้องจึงร้องสอดเข้ามาเพื่อให้ได้รับความรับรองและคุ้มครองสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ขอให้ยกฟ้องและเพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำร้องของผู้ร้องเป็นการร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (2) ผู้ร้องยื่นคำร้องหลังจากมีการสืบพยานโจทก์และจำเลยเสร็จแล้ว กรณีไม่มีเหตุอันสมควร ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายฝากที่ดินพิพาทไว้แก่โจทก์แล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนด ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องสอดเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย จำเลยขายฝากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสโดยมิได้รับความยินยอมจากผู้ร้องสอด ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝาก ดังนี้ แม้ศาลพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารก็ไม่กระทบสิทธิของผู้ร้องสอดในฐานะคู่สมรสที่ยังคงมีอยู่ในกรณีการขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยตามที่ผู้ร้องสอดอ้าง สิทธิของผู้ร้องสอดมีอยู่เพียงใดก็คงมีอยู่เพียงนั้น คำร้องของผู้ร้องสอดไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามในคดีนี้ ตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ ปัญหานี้เป็นเรื่องอำนาจยื่นคำร้องซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share