คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4474/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทตามหนังสือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) จาก ป. และจ. ป. และ จ. ได้มอบสิทธิครอบครองที่พิพาทและหนังสือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค.1 ให้แก่โจทก์เข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา จำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้คดีว่า ป. และ จ. ได้กู้เงินโจทก์และมอบที่พิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย คดีจึงมีประเด็นพิพาทว่าโจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่พิพาทหรือไม่ การที่โจทก์นำสืบว่า ป. กู้เงินโจทก์ และมอบ ส.ค.1 ที่พิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน หากไม่ชำระเงินกู้คืนภายในกำหนด ป.ยินยอมสละสิทธิที่พิพาทแก่โจทก์ ต่อมา ป. ไม่ชำระเงินคืนภายในกำหนดจึงยกที่พิพาทชำระหนี้ โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมา การนำสืบของโจทก์ดังกล่าวจึงมีความหมายว่า โจทก์ได้ซื้อที่พิพาทจาก ป. ในราคาเท่ากับจำนวนเงินที่ ป. กู้เงินโจทก์ไป เป็นการนำสืบให้เห็นถึงที่มาของที่พิพาทว่าโจทก์ได้ที่พิพาทมาอย่างไรซึ่งเป็นการนำสืบในประเด็นเดียวกันว่าโจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่พิพาทหรือไม่นั่นเอง จึงมิใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของ โดย จ.ผู้มีสิทธิครอบครองเดิมมิได้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทแล้วการที่ จ. ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ก.สำหรับที่พิพาทตามที่เจ้าพนักงานแนะนำเพื่อโอนที่พิพาทให้โจทก์ มิใช่เพื่อยึดถือที่พิพาทเป็นของ จ. เองจ. ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ป. ได้กู้เงินโจทก์ และไม่ชำระเงินคืนภายในกำหนดจึงยกที่พิพาทชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญา โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมาโดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์ย่อมเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่พิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นมารดาของนางจาย บุญญะณีย์บุญยะณี จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นบุตรของนางจายกับนายเปื้อน บุญญะณีย์หรือบุญยะณี เมื่อประมาณปี 2510 โจทก์ซื้อที่ดินเนื้อที่ 13 ไร่ 2 งาน 54 ตารางวา จากนายเปื้อนกับนางจายโดยนายเปื้อนกับนางจายมอบสิทธิครอบครองที่ดินและหนังสือแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) แก่โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์โดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ได้ชำระภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธิ โจทก์ประสงค์ที่จะขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ที่ดินดังกล่าวแต่นายเปื้อนได้ถึงแก่กรรมเสียก่อน โจทก์จึงตกลงให้นางจายเป็นผู้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ในนามของนางจายแทนโจทก์ แล้วจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ภายหลัง แต่นางจายถึงแก่กรรมเสียก่อน ต่อมาปี 2527 โจทก์ติดต่อจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของนายเปื้อนกับนางจายให้ดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวแต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 54 เป็นของโจทก์ห้ามจำเลยทั้งสี่และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งสี่ดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้รับสัญญาในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าว หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 54 เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสี่และบริวารเข้าเกี่ยวข้องคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า นายเปื้อนบุญญะณีย์หรือบุญยะณี กับนางจาย บุญญะณีย์หรือบุญยะณีเป็นสามีภรรยากัน เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2507 นายเปื้อนได้กู้เงินโจทก์จำนวน 16,000 บาท และมอบหนังสือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ที่พิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันนายเปื้อนถึงแก่กรรมเมื่อปี 2517 ส่วนนางจายถึงแก่กรรมเมื่อปี 2529 โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตั้งแต่ปี 2510ตลอดมา และที่พิพาทได้ออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 54 เมื่อปี 2527 มีชื่อนางจายเป็นเจ้าของมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการแรกว่า โจทก์นำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2510 โจทก์ซื้อที่พิพาทตามหนังสือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 164 หมู่ที่ 3ตำบลพะวง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 13 ไร่2 งาน 54 ตารางวา จากนายเปื้อน นางจาย และนายเปื้อนนางจายได้มอบสิทธิครอบครองที่พิพาทและหนังสือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) แก่โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทโดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา ซึ่งจำเลยทั้งสี่ก็ให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้องว่า เมื่อปี 2510 นายเปื้อน นางจาย ได้กู้เงินโจทก์จำนวน 16,000 บาท และมอบที่พิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยตลอดมาตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยจึงมีประเด็นพิพาทว่าโจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่พิพาทหรือไม่ แม้ในทางนำสืบโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2507 นายเปื้อนกู้เงินโจทก์จำนวน 16,000 บาท และมอบหนังสือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ที่พิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันตามสัญญากู้กำหนดชำระเงินคืนภายในวันที่ 1 มกราคม 2510 หากไม่ชำระภายในกำหนดนายเปื้อนยินยอมสละสิทธิที่พิพาทแก่โจทก์ตามหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.69 นายเปื้อนไม่สามารถชำระเงินคืนภายในกำหนด จึงยกที่พิพาทชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตั้งแต่ปี 2510 ตลอดมาการนำสืบของโจทก์ดังกล่าวจึงมีความหมายเสมือนว่า โจทก์ได้ซื้อที่พิพาทจากนายเปื้อนในราคาเท่ากับจำนวนเงินที่นายเปื้อนกู้เงินโจทก์ไป 16,000 บาท อันเป็นการนำสืบให้เห็นถึงที่มาของที่พิพาทว่าโจทก์ได้ที่พิพาทมาอย่างไร ซึ่งเป็นการนำสืบในประเด็นเดียวกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่พิพาทหรือไม่นั่นเอง จึงเป็นการนำสืบตามฟ้องตามประเด็นพิพาทในคดีหาใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยไม่ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกาฎีกาโจทก์ฟังขึ้น อย่างไรก็ตามแม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาในประเด็นแห่งคดีตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่พิพาทหรือไม่ แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาปัญหานี้เสียก่อน และเห็นว่าโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา ทั้งปรากฏว่าเมื่อนายวันพินิจสกุล ซึ่งมีที่ดินด้านทิศตะวันออกติดที่พิพาทขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่อปี 2519 ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และสำเนารูปที่ดินโดยประมาณเอกสารหมาย จ.2และ จ.3 โจทก์เป็นผู้ไปรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทและให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงาน ตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.7 โดยไม่ปรากฏว่านางจายหรือจำเลยทั้งสี่ไปเกี่ยวข้องรับรองแนวเขตที่พิพาทแต่อย่างใด แม้ต่อมานายวันได้ขายที่ดินดังกล่าวให้นางอำนวยอึ้งรัศมี ไปแล้ว และในปี 2520 นางอำนวยได้ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินดังกล่าวตามสำเนาเอกสารหมาย จ.62 และมีการไต่สวนเจ้าของที่ดินข้างเคียง โจทก์เป็นเป็นผู้รับรองแนวเขตที่พิพาทตามสำเนาใบไต่สวนเอกสารหมาย จ.63 พฤติการณ์ดังกล่าว แสดงว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของ นางจายมิได้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทแล้ว การที่นางจายไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ที่พิพาทเมื่อปี 2523เชื่อว่าได้ทำตามที่เจ้าพนักงานแนะนำเพื่อโอนที่พิพาทให้โจทก์มิใช่เพื่อยึดถือที่พิพาทเป็นของนางจาย แม้ในการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ที่พิพาทเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้ให้ถ้อยคำว่า นางจายครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทต่อจากนายเปื้อนตลอดมา และโจทก์ลงชื่อเป็นพยานรับรองตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.13 ถึง ล.15 ก็เพียงเพื่อจะได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ในนามนางจายเพื่อโอนให้แก่โจทก์ตามที่ตกลงกันเท่านั้น หาใช่นางจายได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตามความเป็นจริงไม่ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลยทั้งสี่ รับฟังได้ว่านายเปื้อนได้กู้เงินโจทก์ และไม่ชำระเงินคืนภายในกำหนด จึงยกที่พิพาทชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญา โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมาโดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์ย่อมเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่พิพาท เมื่อฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ มิใช่ทรัพย์มรดกของนางจายแม้โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปี นับแต่วันที่นางจายถึงแก่กรรม คดีโจทก์ก็หาขาดอายุความไม่
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share