คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยฎีกาโดยอ้างสิทธิในที่พิพาทว่ายังเป็นทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้มีการแบ่งปันกัน ต้องถือว่า ทายาทมีสิทธิครอบครองร่วมกันและแทนกันตลอดทั้งแปลงนั้น เป็นการฎีกาโดยยกข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำให้การของจำเลยซึ่งไม่มีประเด็นจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินบางส่วนของที่ดินมีโฉนดเพื่อปลูกบ้านจากมารดาโจทก์ ต่อมามารดาโจทก์ถึงแก่กรรม โจทก์เป็นทายาทและผู้จัดการมรดก จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวจากโจทก์ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ และชำระค่าเช่าที่ค้าง 1,040 บาท ให้โจทก์พร้อมค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเช่าที่ดินโจทก์ เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนางเปลื้อง ยิ้มบุญคง ซึ่งเป็นมารดาของนางปราณี ฉายะวิภาตภริยาจำเลย นางเปลื้องให้นางปราณีและจำเลยปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท ก่อนนางเปลื้องถึงแก่กรรมได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินตามโฉนดดังกล่าวให้ทายาททุกคนให้ส่วนสัด ต่อมาทายาททุกคนได้ใส่ชื่อในโฉนดที่ดินนั้นเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันโดยตกลงว่าจะแบ่งที่ดินตามพินัยกรรม แต่ไม่ได้แบ่งเพราะทายาทครอบครองปลูกบ้านล้ำกันไปกันมา และให้ถือว่าทายาทคนใดครอบครองส่วนใดอยู่ก็ให้ได้ส่วนนั้นไป จำเลยและนางปราณีครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยตลอดโดยสงบสุจริต เปิดเผย และโดยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 1011เป็นมรดกของนางเปลื้อง ยิ้มบุญคง ตกได้แก่มารดาโจทก์และนางปราณีภริยาจำเลย กับพี่น้องอีก 4 คนตามพินัยกรรมของนางเปลื้อง และผู้รับพินัยกรรมทุกคนได้ลงชื่อร่วมกันในโฉนดที่ดินนั้น ต่อมามารดาโจทก์ถึงแก่กรรม โจทก์ได้ลงชื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของมารดาโจทก์ในโฉนดที่ดินนั้นแทน โดยยังมิได้แบ่งแยกที่ดินตามโฉนดที่ดินนั้นแต่อย่างใด โจทก์และนางปราณีจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นร่วมกันและมีสิทธิอยู่ในที่ดินนั้น จำเลยเป็นสามีของนางปราณีจึงมีสิทธิอยู่ในที่ดินนั้นด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 100 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1กุมภาพันธ์ 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปจากที่ดินของโจทก์หมดสิ้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า ทายาททั้ง 6 คน มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในโฉนด แต่มิได้ทำการรังวัดกำหนดแนวเขตออกเป็นสัดส่วนของแต่ละคนต้องถือว่าได้ครอบครองร่วมกันและแทนกันตลอดทั้งแปลง โจทก์จะอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่จำเลยและนางปราณีภริยาจำเลยปลูกบ้านเลขที่ 620 อยู่ไม่ได้นั้น เห็นว่าจำเลยให้การว่า จำเลยปลูกบ้านในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนางเปลื้อง ยิ้มบุญคง และนางเปลื้องได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่1011 ให้แก่นางปราณีภริยาจำเลยและทายาทคนอื่นรวม 6 คน โดยกำหนดส่วนสัดเนื้อที่ตามลักษณะแผนที่ที่ดินในพินัยกรรม เมื่อนางเปลื้องถึงแก่กรรมแล้ว ทายาททุกคนต่างตกลงแบ่งการถือกรรมสิทธิ์โดยให้ถือตามบ้านที่ทายาทแต่ละคนปลูกอาศัยอยู่ ทั้งจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์มาเกิน 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินในกรอบสีแดงตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ดังนี้ จึงเป็นคำให้การที่จำเลยอ้างว่าจำเลยและภริยาจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ปลูกบ้านเลขที่ 620 โดยตกลงแบ่งการครอบครองกับทายาทอื่นเป็นสัดส่วนและด้วยการครอบครองปรปักษ์การที่จำเลยกลับฎีกาโดยอ้างสิทธิในที่ดินพิพาทว่ายังเป็นทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้มีการแบ่งปันกัน ต้องถือว่าทายาทมีสิทธิครอบครองร่วมกันและแทนกันตลอดทั้งแปลง จึงเป็นการฎีกาโดยยกข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำให้การของจำเลยซึ่งไม่มีประเด็น จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยสงบเรียบร้อยของประชาชน ฎีกาจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฏีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลย.

Share