คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5181/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอุทธรณ์และได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ โดยจำเลยทั้งสองนำหนังสือค้ำประกันของธนาคาร ก. ที่ออกให้เพื่อค้ำประกันเฉพาะจำเลยที่ 1 มาวางเป็นหลักประกันพร้อมทำหนังสือประกันต่อศาลชั้นต้น กรณีดังกล่าวถือว่านอกจากจำเลยที่ 1 จะเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยที่ 1 ยังมีฐานะเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยทั้งสองตามหนังสือประกันที่ทำต่อศาล เมื่อปรากฏว่าต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 และศาลฎีกาพิพากษายืน ก็เพียงแต่เป็นผลให้ความรับผิดของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องชำระเงินแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นระงับสิ้นไป แต่ความรับผิดตามหนังสือประกันหาได้ระงับไปด้วยไม่ เพราะไม่มีข้อความใดระบุว่าหนังสือประกันดังกล่าวให้มีผลบังคับเฉพาะในชั้นอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่เป็นการทำหนังสือประกันเพื่อได้รับการทุเลาการบังคับเฉพาะจำเลยคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองยอมรับผิดร่วมกันในฐานะผู้ค้ำประกันเพื่อชำระหนี้แทนจำเลยทั้งสองหรือจำเลยคนใดคนหนึ่งหากไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ยังมีหน้าที่ต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา แต่จำเลยที่ 2 ไม่ชำระ โจทก์ก็มีสิทธิบังคับเอาจากหลักทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองนำมาวางเป็นหลักประกันตามสัญญาค้ำประกันได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาตให้ทุเลาการบังคับโดยให้จำเลยทั้งสองหรือคนใดคนหนึ่งหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยมาวางศาล จำเลยทั้งสองนำหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มาวางเป็นหลักประกัน ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาคลองหลวง ชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า สัญญาค้ำประกันของธนาคารค้ำประกันเฉพาะหนี้ของจำเลยที่ 1 เท่านั้น เมื่อต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และศาลฎีกาพิพากษายืน จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิด ให้ยกคำแถลง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ผู้ออกหนังสือค้ำประกันชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ผู้ออกหนังสือค้ำประกันชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันแก่โจทก์นั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งที่ 512/2540 ว่า ถ้าจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือคนใดคนหนึ่งหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2537 จนถึงวันทราบคำสั่งนี้และต่อไปอีก 2 ปี มาให้เป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง จำเลยทั้งสองได้นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มาวางเป็นหลักประกันต่อศาลชั้นต้น และจำเลยทั้งสองโดยนายพิสิฐ ผู้รับมอบอำนาจของจำเลยทั้งสองได้ทำหนังสือประกันต่อศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 13 ตุลาคม 2540 ว่า หากจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาก็ให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันได้ทันที กรณีนี้ จึงเห็นได้ว่านอกจากจำเลยที่ 1 จะเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยที่ 1 ยังมีฐานะเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยทั้งสองตามหนังสือประกันฉบับดังกล่าวด้วย หาใช่ค้ำประกันเฉพาะหนี้ของจำเลยที่ 1 ไม่ เมื่อปรากฏว่าต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 และศาลฎีกาพิพากษายืน ก็เพียงแต่เป็นผลให้ความรับผิดของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องชำระเงินแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นระงับสิ้นไป แต่ความรับผิดตามหนังสือประกันหาได้ระงับไปด้วยไม่ เพราะไม่มีข้อความใดระบุว่าหนังสือประกันดังกล่าวให้มีผลบังคับเฉพาะในชั้นอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่เป็นการทำหนังสือประกันเพื่อได้รับการทุเลาการบังคับเฉพาะจำเลยคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองยอมรับผิดร่วมกันในฐานะผู้ค้ำประกันเพื่อชำระหนี้แทนจำเลยทั้งสองหรือจำเลยคนใดคนหนึ่งหากไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ยังมีหน้าที่ต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา แต่จำเลยที่ 2 ไม่ชำระ โจทก์ก็มีสิทธิบังคับเอาจากหลักทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองนำมาวางเป็นหลักประกันตามหนังสือประกันได้ แม้หลักทรัพย์ที่นำมาวางจะเป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคารซึ่งระบุว่าค้ำประกันเฉพาะจำเลยที่ 1 ก็ตาม เพราะต้องถือว่าเป็นการค้ำประกันหนี้หรือความรับผิดของจำเลยที่ 1 ทุกประเภทที่มีในคดี ซึ่งรวมถึงความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันตามหนังสือประกันด้วย สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 802/2517 ที่จำเลยที่ 1 อ้างมานั้นเป็นเรื่องที่บุคคลภายนอกนำหลักทรัพย์มาวางพร้อมกับทำหนังสือประกันต่อศาลเพื่อประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยซึ่งมีเพียงคนเดียว แตกต่างจากคดีนี้ซึ่งมีจำเลย 2 คน ที่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาและจำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำหนังสือประกันต่อศาลเอง โดยหลักทรัพย์ที่นำมาวางเป็นของจำเลยคนหนึ่ง ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามาจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share