คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3896/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดประกาศขับไล่ผู้ร้องให้ออกไปจากที่ดินแต่ผู้ร้องคัดค้านว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย หากแต่เป็นผู้ซื้อที่ดินและบ้านที่โจทก์กับจำเลยได้ร่วมกันจัดสรรขึ้น แต่โจทก์กับจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินและบ้านให้แก่ผู้ร้อง โดยโจทก์แกล้งฟ้องขับไล่จำเลยต่อศาล หากเป็นความจริง การที่จะให้บังคับคดีโดยให้ผู้ร้องทุกรายออกไปจากที่ดิน อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องได้ แม้โจทก์จะมีสิทธิบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาก็ตาม แต่การที่จะงดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2) ก็เป็นอำนาจและดุลพินิจของศาลที่จะสั่งตามที่เห็นสมควร โดยไม่ต้องไต่สวนให้ได้ความจริงก่อนว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ ต่อมาโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยจะดำเนินการขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดประกาศให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท

ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 80 และผู้ร้องที่ 92 ถึงที่ 104 ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทุกรายและประชาชนอีกหลายรายเป็นผู้ซื้อที่ดินพร้อมบ้านจากโจทก์และจำเลยซึ่งร่วมกันจัดสรรขายโดยได้ผ่อนชำระราคาตลอดมา ต่อมาโจทก์และจำเลยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมโอนบ้านพร้อมที่ดินให้แก่ผู้ร้องทุกราย เมื่อผู้ร้องทุกรายแจ้งว่าจะฟ้องบังคับตามสัญญาโจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และสมยอมกันเพื่อฉ้อโกงผู้ร้อง ขอให้เพิกถอนการบังคับคดีที่เกี่ยวกับผู้ร้องทุกราย

ผู้ร้องที่ 81 ถึงที่ 91 ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อที่ดินจากจำเลยตามสัญญาจะซื้อขายและได้ชำระราคาบางส่วน โจทก์ทั้งสามและจำเลยร่วมกันฉ้อฉลผู้ร้องและลูกค้าของโครงการทุกรายโดยให้โจทก์ทั้งสามเข้ามาซื้อที่ดิน ทั้งที่ทราบดีอยู่แล้วว่าผู้ร้องที่ 81ถึงที่ 91 ทำสัญญาจะซื้อขายกับจำเลยอยู่ก่อนแล้ว ขอให้ศาลห้ามมิให้โจทก์ทั้งสามเข้ารบกวนสิทธิของผู้ร้อง

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องทุกรายเป็นบริวารของจำเลย คำพิพากษาตามยอมในคดีนี้จึงมีผลสมบูรณ์ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องทุกราย

ระหว่างการไต่สวนผู้ร้องที่ 97 และที่ 98 ขอถอนคำร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการไต่สวนและให้ผู้ร้องกับโจทก์ไปดำเนินคดีเป็นคดีต่างหาก ให้งดการบังคับคดีแก่ผู้ร้องทั้งหมดไว้เพื่อรอฟังผลของคดีใหม่

โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่าก่อนมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้งดการบังคับคดี ศาลชั้นต้นควรที่จะทำการไต่สวนให้ได้ความจริงก่อนว่าผู้ร้องทั้งหมดเป็นบริวารของจำเลยตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2) ได้บัญญัติให้อำนาจศาลในอันที่จะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีได้เมื่อศาลเห็นสมควร สำหรับกรณีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่ามีผู้ที่ถูกบังคับคดีให้ออกไปจากที่ดินที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดประกาศขับไล่เป็นจำนวนมากรวมทั้งผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 96 และผู้ร้องที่ 99 ถึงที่ 104 ซึ่งคัดค้านว่า ผู้ร้องทุกรายไม่ใช่บริวารของจำเลยหากแต่เป็นผู้ซื้อที่ดินและบ้านที่โจทก์กับจำเลยได้ร่วมกันจัดสรรขึ้น เมื่อถึงเวลาที่จะต้องโอนที่ดินและบ้านให้แก่ผู้ร้องแต่ละคน โจทก์กับจำเลยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมโอนที่ดินและบ้านให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องทั้งหมดแจ้งว่าจะฟ้องเพราะเป็นการผิดสัญญา โจทก์และจำเลยจึงได้ร่วมกันฉ้อฉลผู้ร้องกับลูกค้าที่ทำสัญญาจะซื้อขายบ้านและที่ดินกับจำเลย โดยโจทก์ทั้งสามแกล้งฟ้องจำเลยต่อศาลเป็นคดีนี้ แล้วได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเพื่อฉ้อโกงผู้ร้อง ดังนี้ หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำร้องของผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 96 และผู้ร้องที่ 99 ถึงที่ 104 แล้ว การที่จะให้บังคับคดีโดยให้ผู้ร้องทุกรายออกไปจากที่ดินที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดประกาศขับไล่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องทั้งหมดได้ แม้โจทก์จะมีสิทธิบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาก็ตาม แต่การที่จะงดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2) ก็เป็นอำนาจและดุลพินิจของศาลที่จะสั่งตามที่เห็นสมควร ทั้งกรณีของผู้ร้องทุกรายถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่จะให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน ที่ศาลล่างทั้งสองให้งดการบังคับคดีแก่ผู้ร้องทุกราย เพื่อรอฟังผลของคดีใหม่นั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share