แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์รับเช็คของจำเลยไปเรียกเก็บเงินตามวิธีการของธนาคารเมื่อเก็บเงินได้แล้วจึงนำเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย อันเป็นการเรียกเก็บเงินตามเช็คแทนจำเลย มิใช่จำเลยนำเช็คไปแลกเงินสดจากโจทก์ เมื่อโจทก์ได้นำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยไปก่อนเพราะเชื่อว่าจะเรียกเก็บเงินตามเช็คได้เหมือนคราวก่อน ๆ ที่โจทก์เคยปฏิบัติมา แต่เช็คดังกล่าวถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน เช่นนี้จึงถือได้ว่าจำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบเงินจำนวนดังกล่าวจึงเป็นลาภมิควรได้ อันจำเลยจำต้องคืนให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้เงินจำนวน ๓๑,๔๙๘ บาท ๖๑ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๒๙,๓๒๓ บาท ๔๕ สตางค์ นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน ๒๙,๓๒๓ บาท ๔๕ สตางค์ แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๒๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยนำเช็คดังกล่าวไปแลกเงินจากโจทก์ เงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์ไม่ได้รับไปเนื่องจากโจทก์ชำระหนี้จำเลย และจำเลยรับเงินมาก็มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จึงมิใช่เป็นเรื่องลาภมิควรได้จำเลยไม่ต้องคืนให้โจทก์นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๕ จำเลยได้นำเช็คของบริษัทอับดุลลาห์ เอส ออล ราชิ อีเอสที. หมายเลข ๐๔/๐๑๘๑๓ ลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๒๕ สั่งจ่ายเงินจำนวน ๑,๒๘๐.๕๐ ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาคิดเป็นเงินไทยจำนวน ๒๙,๓๒๓ บาท ๔๕ สตางค์ โดยเช็คฉบับดังกล่าวสั่งจ่ายเงินให้จำเลย การที่จำเลยนำเช็คดังกล่าวมาเรียกเก็บเงินที่ธนาคารโจทก์สาขาตากนั้น เป็นการที่ให้ธนาคารโจทก์สาขาตากไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด ให้อีกต่อหนึ่ง จำเลยยังไม่มีสิทธิรับเงินดังกล่าวไปจากธนาคารโจทก์สาขาตากจนกว่าจะขึ้นเงินดังกล่าวได้แล้ว แต่จำเลยเป็นลูกค้าชั้นดีของธนาคารคือได้นำเช็คต่างประเทศมาให้ธนาคารเรียกเก็บเงินให้หลายครั้ง ไม่มีปัญหา ดังนั้นเมื่อจำเลยนำเช็คดังกล่าวมาให้ทางธนาคารเรียกเก็บเงินตามเช็คให้ ธนาคารจึงได้จ่ายเงินให้แก่โจทก์ไปก่อนโดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยจำนวน ๒๙,๓๒๓ บาท ๔๕ สตางค์ และจะได้เรียกเก็บเงินตามเช็คในภายหลัง ในวันเดียวกันนั้นเองจำเลยได้เบิกเงินดังกล่าวไปจากธนาคารโจทก์จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท และในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๕ จำเลยขอเบิกเงินในบัญชีดังกล่าวไปอีก ๙,๐๐๐ บาท โจทก์ได้นำเช็คดังกล่าวของจำเลยส่งไปเก็บเงินที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สำนักงานใหญ่ แต่ธนาคารดังกล่าวปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า บริษัทที่สั่งจ่ายเงินได้ล้มละลายแล้ว โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบและขอให้คืนเงินทั้งหมดแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่คืน ดังนี้ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่โจทก์รับเช็คของจำเลยไปเรียกเก็บเงินตามวิธีการของธนาคารเมื่อเก็บเงินได้แล้วจึงนำเข้าบัญชีเงินฝากของ จำเลยอันเป็นการเรียกเก็บเงินตามเช็คแทนจำเลยนั่นเอง หาใช่เป็นการที่จำเลยนำเช็คไปแลกเงินสดจากโจทก์ดังที่จำเลยฎีกาไม่ โจทก์ได้นำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยไปก่อนเพราะเชื่อว่าจะเรียกเก็บเงินได้เหมือนคราวก่อน ๆ ที่โจทก์เคยเรียกเก็บเงินตามเช็คให้แก่จำเลยมาแล้ว ต่อมาเช็คดังกล่าวถูกปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะบริษัทผู้จ่ายเงินตามเช็คล้มละลายแล้ว เช่นนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยได้รับเงินจำนวน ๒๙,๓๒๓ บาท ๔๕ สตางค์ ไปจากโจทก์โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบเงินจำนวนดังกล่าวจึงเป็นลาภมิควรได้อันจำเลยจำต้องคืนให้แก่โจทก์ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๖ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้เงินดังกล่าวแก่โจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๖๐๐ บาทแทนโจทก์