แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฉุดคร่าผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและเมื่อพาไปถึงบ้านผู้อื่นแล้วจำเลยยังได้บังอาจหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้อีกดังนี้เป็นการกระทำผิด 2 ตอนต่างกรรมต่างวาระกัน จำเลยย่อมมีผิดฐานฉุดคร่าอนาจารและฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 276,270 เป็นสองกระทง และศาลมีอำนาจให้รวมกระทงลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2496 เวลากลางคืนจำเลยกับพวกได้บังอาจสมคบกันฉุดคร่านางสาวบุญเสริมไปเพื่อการอนาจารและในระหว่างวันที่ 24 ถึง 25 เมษายน 2496 เวลากลางคืนและกลางวันจำเลยได้บังอาจหน่วงเหนี่ยวนางสาวบุญเสริมไว้ที่บ้านนางถึง โดยจำเลยไม่มีอำนาจอันชอบด้วยกฎหมายที่จะกระทำได้ กระทำให้นางสาวบุญเสริมปราศจากความอิสระแก่ตน ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 270, 276, 60
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า 1. จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อเลี้ยงดูฉันท์สามีภริยาฐานชู้สาว จึงไม่เป็นการอนาจาร 2. การกระทำของจำเลยเป็นละเมิดกฎหมายหลายบท ไม่ใช่หลายกระทง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาข้อ 1. จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้าม เพราะศาลล่างทั้งสองหาได้ฟังว่าจำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อเลี้ยงดูฉันท์สามีภริยาหรือฐานชู้สาวไม่ ส่วนข้อ 2. จำเลยบังอาจฉุดคร่าไปเพื่ออนาจาร ตอนหนึ่งและเมื่อพาไปถึงบ้านนางถึงแล้วจำเลยได้บังอาจหน่วงเหนี่ยวกักขังนางสาวบุญเสริมไว้อีกตอนหนึ่งเป็นต่างกรรมต่างวาระกัน ศาลทั้งสองให้รวมกระทงลงโทษจำเลยชอบแล้วจึงพิพากษายืน