คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3475/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยกับบุตรนั่งรับประทานอาหารเข้าอยู่ในครัว ผู้เสียหายซึ่งอยู่ในภาวะของโรคจิตมีอาการคลุ้มคลั่งจะทำร้ายผู้อื่นได้บุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของจำเลย เรียกบุตรของจำเลยออกมาพูดและกล่าวหาว่าบุตรของจำเลยลักน้ำมันของผู้เสียหายไปซึ่งบุตรของจำเลยปฏิเสธ ผู้เสียหายก็ควักปืนสั้นออกมายิงขึ้น 1 นัดและยังถือปืนกับมีดบุกรุกขึ้นไปบนบ้านของจำเลยด้วยกิริยาอาการขู่เข็ญคุกคามจะยิงจำเลยและบุตรของจำเลยซึ่งในภาวะเช่นนั้นจำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นคนวิกลจริตอาจยิงทำร้ายจำเลยภริยา และบุตรของจำเลยได้ การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายไป 6 นัด โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายล้มลงหรือหยุดการคุกคามเมื่อใดและผู้เสียหายยังสามารถหลบหนีออกไปจากบ้านของจำเลยได้เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปเพื่อป้องกันตน และเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุจำเลยจึงไม่มีความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 และขอให้ริบอาวุธปืนกับปลอกกระสุนปืนของกลาง จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 69จำคุกจำเลย 2 ปี ริบของกลาง โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง คืนของกลางให้จำเลย โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ข้อเท็จจริงข้อแรกที่สมควรวินิจฉัยเสียก่อนก็คือ หลังจากผู้เสียหายเรียกนายสุวรรณ ออกมาพูดกันเรื่องที่ผู้เสียหายสงสัยว่านายสุวรรณเป็นผู้ลักน้ำมันของผู้เสียหายซึ่งนายสุวรรณปฏิเสธผู้เสียหายจึงยิงปืนขึ้น 1 นัดแล้วนั้น ผู้เสียหายถือมีดปลายแหลมยาวประมาณ 1 ฟุตครึ่ง ด้วยมือซ้าย และถือปืนสั้นด้วยมือขวาขึ้นไปบนบ้านของจำเลยหรือไม่ ในข้อนี้นางเนยภริยาของจำเลยซึ่งเป็นพยานโจทก์เบิกความว่า ผู้เสียหายในมือซ้ายถือมีดส่วนมือขวาถือปืนและสะพาย ย่ามที่ไหล่ขวาวิ่งไล่ตามนายสุวรรณเข้าไปในครัวพยานได้บอกให้นายสุวรรณโดดจากบ้านไป ในชั้นสอบสวนพยานก็ได้ให้การไว้ในทำนองเดียวกัน สำหรับพยานจำเลยตัวจำเลยและนายสุวรรณเบิกความต้องกันว่าผู้เสียหายสะพาย ย่าม มือขวาถือปืนมือซ้ายถือมีด วิ่งไล่นายสุวรรณเข้าไปในห้องครัว ชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การไว้เช่นนั้น นอกจากนั้นยังปรากฏตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุของร้อยตำรวจตรีประจวบว่า ขณะตรวจที่เกิดเหตุจำเลยนำอาวุธปืนขนาด .38 ของจำเลย ซึ่งมีทะเบียนแล้วพร้อมปลอกกระสุนในลูกโม่ 6 ปลอกมามอบให้ และรับว่าใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายบาดเจ็บเนื่องจากผู้เสียหายบุกรุกขึ้นมาบนบ้านจะยิงตนก่อน จากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยดังกล่าวน่าเชื่อว่าผู้เสียหายถือปืนด้วยมือขวาและถือมีดปลายแหลมด้วยมือซ้ายบุกรุกไล่ทำร้ายนายสุวรรณเข้าไปในครัวของจำเลยจริง แม้ผู้เสียหายจะเบิกความว่าถือแต่มีดปลายแหลมขึ้นไปบนบ้าน ส่วนปืนเก็บไว้ในย่าม ก็ไม่มีน้ำหนักเพราะผู้เสียหายเองในขณะนั้นเห็นได้ว่ามีจิตใจไม่ปกติ และเมื่อยิงปืนขึ้นที่หน้าบ้าน 1 นัดแล้ว โดยเหตุผลผู้เสียหายก็น่าจะยังถือปืนอยู่ในมือขณะขึ้นไปบนบ้านเพราะเป็นเวลารีบร้อนกะทันหัน และแม้จ่าสิบตำรวจบุญยืนจะเบิกความว่า เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุได้พบมีดและอาวุธปืนของผู้เสียหายอยู่ในย่ามของผู้เสียหาย ก็ไม่อาจฟังหักล้างข้อเท็จจริงข้างต้นว่าผู้เสียหายถือทั้งปืนและมีดบุกรุกไล่นายสุวรรณเข้าไปในครัวได้ ในสภาพจิตใจของผู้เสียหายเช่นนั้นน่าเชื่อว่าผู้เสียหายใช้ปืนจ้องขู่คุกคามจะทำร้ายนายสุวรรณและจำเลยด้วยดังที่จำเลยให้ถ้อยคำไว้ในชั้นจับกุมและที่จำเลยเบิกความไว้ในชั้นพิจารณาและแม้ปืนของผู้เสียหายจะไม่มีเข็มแทงชนวนเพราะชำรุดและตกลงที่พื้นดินหน้าบ้าน จำเลยก็ไม่มีโอกาสทราบได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ในขณะที่จำเลยกับนายสุวรรณบุตรของจำเลยนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ในครัวของจำเลยผู้เสียหายซึ่งอยู่ในภาวะของโรคจิตมีอาการคลุ้มคลั่งจะทำร้ายผู้อื่นได้บุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของจำเลย เรียกนายสุวรรณบุตรของจำเลยออกมาพูดและกล่าวหาว่านายสุวรรณลักน้ำมันของผู้เสียหายไป ซึ่งนายสุวรรณปฏิเสธทันใดนั้นผู้เสียหายก็ควักปืนสั้นออกมายิงขึ้น 1 นัด ซึ่งย่อมก่อให้เกิดความตกใจและความกลัวแก่จำเลยและคนในบ้านของจำเลย จากนั้นผู้เสียหายยังถือปืนและมีดบุกรุกขึ้นไปบนบ้านของจำเลยด้วยกิริยาอาการขู่เข็ญคุกคามจะยิงจำเลยและบุตรของจำเลย ซึ่งในภาวะเช่นนั้นจำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นคนวิกลจริตอาจยิงทำร้ายจำเลยภริยาและบุตรของจำเลยได้การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายไป 6 นัดโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายล้มลงหรือหยุดการคุกคามเมื่อใด และผู้เสียหายยังสามารถหลบหนีออกไปจากบ้านของจำเลยได้เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปเพื่อป้องกันตน และเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share