แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
รองผู้ว่าราชการจังหวัดทำการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดลงชื่อในคำสั่งของจังหวัด ให้เพิกถอน น.ส.3 ที่ออกทับที่สาธารณประโยชน์ตามอำนาจใน ป. ที่ดิน มาตรา 61 เป็นคำสั่งของจังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แทน ลงชื่อโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดทำการแทน โจทก์ฟ้องจังหวัดเป็นจำเลยได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่า ประมวลกฎหมายที่ดิน และ ป.ว.ที่ 334 13 ธันวาคม 2515 ระบุให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่ใช่ให้อำนาจจังหวัดสั่งเพิกถอน น.ส.3 โจทก์ฟ้องจังหวัดเป็นการฟ้องผิดตัว พิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้พิจารณาพิพากษาใหม่จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จังหวัดสกลนคร ได้มีคำสั่งที่ 2/2520 ลงวันที่ 4 มกราคม2520 ตามเอกสารหมาย ล.9 ผู้ลงนามในคำสั่งโดยนายจริญญา พึ่งแสงรองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครทำการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินของโจทก์ ในส่วนที่ได้ออกทับลำห้วยกุดจานสาธารณประโยชน์ออกเป็นเนื้อที่ 18 ไร่ จำเลยฎีกาว่าคำสั่งจังหวัดสกลนครที่ 2/2520 ตามเอกสารหมาย ล.9 เป็นคำสั่งที่ออกในฐานะของผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร โดยอาศัยอำนาจตามความในประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 334 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ที่ได้ให้อำนาจแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดไว้ ไม่ใช่คำสั่งที่ออกในฐานะกระทำการแทนจังหวัดคำสั่งดังกล่าวจึงมิใช่คำสั่งของจำเลย ฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องจำเลยผิดตัว ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าแม้ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครมิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วยก็ตาม แต่จำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยสภาพแล้วไม่สามารถกระทำการด้วยตนเองได้ เว้นแต่จะกระทำโดยทางผู้แทน ดังที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 75 ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครจึงเป็นผู้แทนของจังหวัดสกลนครในการที่แสดงเจตนาแทน คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งของจังหวัดสกลนครนั่นเอง จำเลยจะปฏิเสธเสียซึ่งความรับผิดเกี่ยวกับคำสั่งนั้นหาได้ไม่”
พิพากษายืน