แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ส. ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับจำเลย โดย ส. ชำระราคารวมมัดจำให้แก่จำเลยแล้ว 1,691,272 บาท คงมีหนี้ค้างชำระ 22,828 บาท ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่ในฐานะทายาทโดยธรรมของ ส. กับจำเลยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายแสดงความประสงค์จะเลิกสัญญาดังกล่าวแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายยังมีความประสงค์ที่จะให้มีการบังคับให้เป็นไปตามสัญญาที่ทำไว้ต่อกัน ดังนี้ เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งคู่สัญญาต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ต่อกัน หากบังคับฝ่ายหนึ่งชำระหนี้ก็ต้องบังคับให้อีกฝ่ายชำระหนี้ตอบแทนได้ แม้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ทั้งสี่ โดยมิได้มีคำขอท้ายฟ้องเสนอขอชำระราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เหลือให้แก่จำเลยตามสัญญาก็ตาม เนื่องจากโจทก์ทั้งสี่เข้าใจว่า ส. ได้ชำระราคาให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วเช่นนี้ ก็หาเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ทั้งสี่จึงมีอำนาจฟ้อง และศาลย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคู่สัญญา โดยบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ทั้งสี่ และกำหนดให้โจทก์ทั้งสี่ร่วมกันชำระราคาบ้านและที่ดินให้แก่จำเลยได้ เพราะเป็นเรื่องการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน กรณีไม่เป็นการพิพากษาเกินกว่าคำขอของโจทก์ทั้งสี่
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นทายาทโดยธรรมของนายสนั่น ผู้ตาย จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ก่อสร้างบ้านจัดสรรขาย เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2539 จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นายสนั่น ปัจจุบันคือ บ้านเลขที่ 70/4 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 81865 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ในราคา 1,714,100 บาท นายสนั่นวางเงินมัดจำในวันทำสัญญา 100,000 บาท ที่เหลือตกลงกันให้นำค่าวัสดุก่อสร้างประเภทไม้ที่จำเลยจะสั่งซื้อจากนายสนั่นหักชำระราคาจนครบและจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาจะซื้อจะขายต่อไป ต่อมาในปี 2540 ถึงปี 2542 จำเลยสั่งซื้อไม้จากนายสนั่นจนครบ 1,614,100 บาท หลังจากนั้นนายสนั่นถึงแก่ความตาย จำเลยไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ โจทก์ทั้งสี่ทวงถามหลายครั้ง แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ 81865 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย หากไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ให้คืนเงิน 1,714,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสี่
จำเลยให้การว่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 70/4 หมู่ที่ 4 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ที่ดินโฉนดเลขที่ 81865 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ทั้งสี่ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โดยให้โจทก์ทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ค้างชำระจำนวน 22,828 บาท แก่จำเลย หากโอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ให้จำเลยใช้เงิน 1,691,272 บาท แก่โจทก์ทั้งสี่ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 ธันวาคม 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสี่ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายสนั่น ผู้ตาย ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยราคา 1,714,100 บาท ชำระมัดจำในวันทำสัญญา 100,000 บาท คงค้างชำระอยู่ 1,614,100 บาท โดยจำเลยตกลงจะสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างประเภทไม้จากนายสนั่นนำเงินมาหักชำระเป็นค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจนครบตามสัญญา ตามสัญญาจะซื้อจะขายและบันทึกแนบท้ายสัญญา โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่านายสนั่นชำระเงินจำนวน 1,614,100 บาท ให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วโดยการที่จำเลยซื้อวัสดุก่อสร้างไปจากนายสนั่นดังกล่าว จำเลยต่อสู้คดีโดยอ้างว่านายสนั่นยังชำระราคาให้แก่จำเลยไม่ครบ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จากพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่คงฟังได้อย่างมากเพียงว่า นายสนั่นได้ชำระราคาให้แก่จำเลยแล้วเป็นเงิน 1,591,272 บาท ไม่ครบจำนวนที่ค้างชำระ และเห็นว่าเมื่อโจทก์ทั้งสี่มิได้นำสืบว่าได้เสนอขอชำระค่าบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยจนครบถ้วนเสียก่อน แสดงว่าโจทก์ยังมิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงในบันทึกแนบท้ายสัญญา กรณียังไม่ก่อให้โจทก์ทั้งสี่เกิดสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยตามฟ้องได้ โจทก์ทั้งสี่จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยฟังว่า นายสนั่นชำระราคารวมเงินมัดจำให้แก่จำเลยแล้ว 1,691,272 บาท คงมีหนี้ค้างชำระอีก 22,828 บาท เช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่วินิจฉัยต่อไปว่า สัญญาระหว่างนายสนั่นกับจำเลยยังคงใช้บังคับได้เนื่องจากไม่มีคู่ความฝ่ายใดกระทำการเลิกสัญญา เมื่อนายสนั่นถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งสี่ในฐานะทายาทโดยธรรมจึงมีสิทธิรับมรดกของนายสนั่นจึงชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ทั้งสี่ตามฟ้อง ศาลย่อมที่จะบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ทั้งสี่และกำหนดให้โจทก์ทั้งสี่ร่วมกันชำระราคาบ้านและที่ดินให้แก่จำเลยได้ แม้คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสี่มิได้ขอชำระราคาบ้านและที่ดินแก่จำเลย แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการเกินกว่าคำขอของโจทก์ทั้งสี่
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาเกินคำขอ ไม่ชอบด้วยกฎหมายและโจทก์ทั้งสี่จะต้องเสนอขอชำระราคาบ้านและที่ดินพิพาทที่เหลือให้แก่จำเลยเสียก่อนหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ทั้งสี่ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายสนั่น ซึ่งทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับจำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขายและบันทึกแนบท้ายสัญญา โดยอ้างว่านายสนั่นได้ชำระราคาให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยให้การต่อสู้ว่า นายสนั่นยังชำระราคาไม่ครบถ้วน คดีจึงคงมีประเด็นโต้เถียงกันเฉพาะว่า มีการชำระราคากันครบถ้วนแล้วหรือไม่เท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยมาว่า นายสนั่นชำระราคารวมเงินมัดจำให้แก่จำเลยแล้ว 1,691,272 บาท คงมีหนี้ค้างชำระอีกเพียง 22,828 บาท เท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายแสดงความประสงค์จะเลิกสัญญาดังกล่าวต่อกันแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายยังมีความประสงค์ที่จะให้มีการบังคับให้เป็นไปตามสัญญาที่ทำไว้ต่อกัน ดังนี้ เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งคู่สัญญาต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ต่อกัน หากบังคับฝ่ายหนึ่งชำระหนี้ก็ต้องบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งชำระหนี้ตอบแทนได้ แม้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ทั้งสี่ โดยไม่ได้มีคำขอท้ายฟ้องเสนอขอชำระราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เหลือให้แก่จำเลยตามสัญญาก็ตาม เนื่องจากโจทก์ทั้งสี่เข้าใจว่านายสนั่นได้ชำระราคาให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วเช่นนี้ ก็หาเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องแต่อย่างใดไม่ โจทก์ทั้งสี่จึงมีอำนาจฟ้อง และศาลย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคู่สัญญา โดยบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ทั้งสี่ และกำหนดให้โจทก์ทั้งสี่ร่วมกันชำระราคาบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยได้ เพราะเป็นเรื่องการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน กรณีไม่เป็นการพิพากษาเกินกว่าคำขอของโจทก์ทั้งสี่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ