คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1716/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุตรจำเลยถูกตำรวจจับข้อหาขับรถจักรยานยนต์ไม่มีใบขับขี่ไม่เสียภาษีขับรถเป็นที่น่าหวาดเสียว และรถถูกยึดไปไว้ที่สถานีตำรวจ จำเลยไปติดต่อกับโจทก์ซึ่งเป็นสารวัตรจราจร เพื่อขอรับรถคืน โจทก์เป็นเจ้าพนักงานที่จะต้องปฏิบัติการตามหน้าที่เกี่ยวกับคดีที่บุตรจำเลยต้องหา แทนที่จะพูดให้จำเลยเข้าใจ กลับพูดแรงไป การที่จำเลยส่งข้อความไปลงหนังสือพิมพ์ถึงอธิบดีกรมตำรวจซึ่งเป็นเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์ มีใจความเป็นการแสดงความเสียใจน้อยใจของจำเลย และขอร้องให้ผู้ใหญ่ในกรมตำรวจสอดส่องตักเตือนตำรวจให้พูดจาแนะนำประชาชนในสิ่งที่ประชาชนไม่รู้อย่างสุภาพ เพื่อให้ตำรวจเข้ากับประชาชนได้ จึงเป็นการติชมโจทก์ด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ และจำเลยลงข้อความนั้นโดยสุจริตตามเรื่องที่เกิดแก่จำเลย กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทและฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับราชการตำแหน่งสารวัตรจราจร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน จำเลยที่ 1 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายวันตะวันสยาม จำเลยที่ 2เป็นผู้เขียนและควบคุมบทความประจำหนังสือพิมพ์ จำเลยที่ 3 เป็นผู้เขียนข้อความลงในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว โดยจำเลยทั้งสามสมคบกันใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังโดยกระทำการโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันตะวันสยาม โดยลงข้อความใส่ความโจทก์ที่ไม่เป็นความจริง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328, 136, 83, 91 ประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 41 ข้อ 3, 7, 8 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง

จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธ

ก่อนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การ โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยเขียนข้อความไปลงในหนังสือพิมพ์เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ไม่ใช่เป็นการติชมโจทก์ด้วยความเป็นธรรมดังวินิจฉัยเช่นจำเลยย่อมกระทำได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 แต่อย่างใด

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาจำต้องมีข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าบุตรชายของจำเลยที่ 3 ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับข้อหาขับรถจักรยานยนต์ไม่มีใบขับขี่ ไม่เสียภาษี ขับรถเป็นที่น่าหวาดเสียวน่าเกิดอันตรายแก่กายตนเองและผู้อื่น รถจักรยานยนต์ถูกยึดไปไว้ที่สถานีตำรวจ จำเลยที่ 3 ไปติดต่อกับโจทก์เพื่อขอรับรถคืนและได้เกิดความเข้าใจผิดกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 โจทก์พูดแรงไปบ้างกับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงส่งข้อความไปลงหนังสือพิมพ์ตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เป็นเจ้าพนักงานที่จะต้องปฏิบัติการตามหน้าที่เกี่ยวกับคดีที่บุตรชายของจำเลยที่ 3 ต้องหา เมื่อจำเลยที่ 3ไปติดต่อกับโจทก์ แทนที่โจทก์จะพูดให้จำเลยที่ 3 เข้าใจ โจทก์กลับพูดแรงไปบ้างกับจำเลยที่ 3 ดังนี้ จำเลยที่ 3 ย่อมจะลงข้อความตามเอกสารหมาย จ.1 ถึงอธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์ เพื่อความชอบธรรมเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ที่ไปติดต่อกับโจทก์ได้ฟังข้อความที่ลงในเอกสารดังกล่าวก็มีใจความเป็นการแสดงความเสียใจ น้อยใจของจำเลย และขอร้องให้ผู้ใหญ่ในกรมตำรวจสอดส่องตักเตือนเจ้าพนักงานตำรวจให้พูดจาแนะนำประชาชนในสิ่งที่ประชาชนไม่รู้อย่างสุภาพ เพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจเข้ากับประชาชนได้ ซึ่งเป็นการติชมโจทก์ด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนที่จะกระทำเช่นนั้น และจำเลยที่ 3 ลงข้อความนั้นโดยสุจริตตามเรื่องที่เกิดแก่จำเลยที่ 3 กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทและฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่

พิพากษายืน

Share