คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5082/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จ.ขับรถอยู่ในทางเดินรถ เห็นชามกะละมัง หล่น ขวางทางอยู่จึงชะลอความเร็วและหยุดรถเพื่อไม่ให้ชนชาม กะละมัง จำเลยขับรถแล่นตามหลังมาชนท้ายรถของ จ. เช่นนี้ ถือไม่ได้ว่า จ. มีส่วนประมาทร่วมด้วย และถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อเพราะผู้ที่ขับรถตามหลังรถคันอื่นมีหน้าที่ต้องระมัดระวังไม่ให้รถแล่นไป ชนท้ายรถคันที่แล่นอยู่ข้างหน้า โดยต้องทิ้งระยะให้ห่างพอสมควรที่จะชะลอความเร็ว หรือหยุดรถได้ทันท่วงทีเมื่อรถคันหน้าได้ชะลอความเร็วหรือต้องหยุดรถไม่ว่ากรณีใด ๆ
โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยและรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยมาฟ้องจำเลยผู้ทำละเมิดโจทก์ชอบที่จะได้รับดอกเบี้ย นับแต่วันที่โจทก์ใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยเท่านั้น หามีสิทธิได้รับดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิดไม่ และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยขับรถประมาทชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้ว จึงรับช่วงสิทธิมาฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของนายใจประกาศ ซาฮีผู้ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้แต่ผู้เดียว จำเลยไม่มีส่วนประมาทด้วย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดโจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินส่วน ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๙๐,๖๖๐ บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน ๒,๒๖๖ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือดีกว่าพยานหลักฐานจำเลยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายใจประกาศเห็นชาม กะละมังหล่น ขวางทางอยู่ จึงชะลอความเร็วและหยุดรถเพื่อไม่ให้ชนชามกะละมัง ใบดังกล่าว จึงถูกรถคันที่จำเลยขับตามหลังแล่นมาชนท้าย จึงถือไม่ได้ว่านายใจประกาศมีส่วนประมาทร่วมด้วยเพราะผู้ที่ขับรถตามหลังรถคันอื่นมีหน้าที่ต้องระมัดระวังไม่ให้รถแล่นไปชนท้ายรถคันที่แล่นอยู่ข้างหน้า โดยต้องทิ้งระยะให้ห่างพอสมควรที่จะชะลอความเร็วลงหรือหยุดรถได้ทันท่วงทีในเมื่อรถคันที่แล่นอยู่ข้างหน้าได้ชะลอความเร็วลงหรือต้องหยุดรถไม่ว่ากรณีใด ๆ ดังนี้ ที่จำเลยขับรถชนท้ายรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ตามพฤติการณ์ดังที่ได้วินิจฉัยแล้วข้างต้น จำเลยจึงเป็นฝ่ายขับรถประมาทเลินเล่อดังที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นแต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ นับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เห็นว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยและรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันมาฟ้องจำเลยผู้ที่ละเมิด โจทก์ชอบ ที่จะได้รับดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่โจทก์ใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปเท่านั้น และคดีได้ความจากคำของนายเชาวลิตเจ็งตระกูล ซึ่งเบิกความรับรองใบเสร็จรับเงิน เอกสารหมายจ.๙ ฟังได้ว่า โจทก์ได้ใช้ค่าเสียหายไปเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๒๘โจทก์มีสิทธิที่จะได้รับดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันดังกล่าว หามีสิทธิได้รับดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิดดังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ ปัญหาข้อนี้แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน ๙๐,๖๖๐ บาท ให้แก่โจทก์ นับตั้งแต่วันที่๑๒ มิถุนายน ๒๕๒๘ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน ๒,๒๖๖ บาท กับให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา๒,๐๐๐ บาท แทนโจทก์ นอกจากที่คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share