แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำสั่งของจำเลยที่ 2 มีข้อความกล่าวถึงเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้นและให้โจทก์ทบทวนการกระทำของโจทก์และวินิจฉัยว่าโจทก์กระทำผิดถูกอย่างไร แล้วรายงานให้จำเลยที่ 2 ทราบภายในกำหนดมิฉะนั้นจะรายงานผู้บังคับบัญชาชั้นสูงต่อไป ไม่มีข้อความที่สั่งให้โจทก์ออกจากงาน ปลดโจทก์ออกจากงาน หรือไล่โจทก์ออกจากงานอันเป็นการเลิกจ้างโจทก์ แม้ในคำสั่งจะมีข้อความตำหนิการกระทำของโจทก์ก็จะถือว่าเมื่ออ่านประกอบข้อความที่ให้โจทก์วินิจฉัยตนเองแล้วเป็นการไล่โจทก์ออกจากงานโดยใช้ถ้อยคำสุภาพไม่ได้ คำสั่งดังกล่าวจึงไม่เป็นคำสั่งเลิกจ้างโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำครั้งสุดท้ายทำหน้าที่ครูประจำชั้นประถมปีที่ 5 โรงเรียนกรุงธนวิทยาภวัน ได้รับค่าจ้างอัตราเดือนละ 2,285 บาท วันที่26 ตุลาคม 2531 จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าโจทก์ดื้อดึงและถือทิฐิโจทก์เห็นว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่การงานไปเองตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2531โดยจำเลยมิได้เลิกจ้างแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้องศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์กับนางนารีรัตน์ สิงหเสนี ซึ่งเป็นครูโรงเรียนกรุงธนวิทยาภวันมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการโรงเรียนดังกล่าวได้เขียนคำสั่งลงในสมุดตามเอกสารหมาย ล.1หน้า 136-137 ให้ครูคนอื่นนำไปให้โจทก์อ่านและเซ็นทราบ ซึ่งคำสั่งดังกล่าวมีข้อความว่า “ข้าพเจ้าได้รับรายงานจากครูใหญ่ว่าท่านและนางนารีรัตน์ สิงหเสนี มีกรณีพิพาทกัน ครูใหญ่ได้เชิญท่านและครูนารีรัตน์ไปพบครูใหญ่ที่ห้องทำการเมื่อเย็นวานนี้เพื่อปรับความเข้าใจกับคู่กรณี แต่ท่านก็ไม่ยอมไปพบครูใหญ่วันนี้ข้าพเจ้าจึงได้มาขอพบท่านกับคู่กรณี แต่ท่านก็ไม่ยอมมาพบข้าพเจ้า ทั้งที่ข้าพเจ้าให้ครูไปเรียกท่านถึง 4 คน และให้ครูที่ข้าพเจ้าใช้ไปเรียกท่านอธิบายให้ท่านฟังว่าที่ท่านอ้างว่าท่านได้เอาเรื่องที่เกิดพิพาทไปแจ้งตำรวจแล้ว ซึ่งท่านถือว่าเรื่องเป็นที่สิ้นสุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาพบข้าพเจ้าอีก การที่ท่านบอกกับครูที่ข้าพเจ้าใช้ให้ไปเรียกท่านตามเหตุผลข้างบนนี้เป็นการไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับบัญชางานที่ทำอยู่ เมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็จำเป็นจะต้องพูดจากันเพื่อทราบความผิดความถูก ใครผิดก็จะขอร้องให้ขอโทษ ใครถูกก็ยอมให้อภัยกันเสียเพราะหลักศีลธรรมและจรรยาบรรณเช่นนี้ ครูทุกคนจะต้องมีประจำตัวถ้าครูผู้ใดไม่มีสิ่งนี้แล้ว เวลาได้ยินใครเรียกครูจะฟังไม่สนิทหูความปรารถนาของข้าพเจ้าที่จะพบท่านกับคู่พิพาทก็เพื่อประสานรอยร้าวสร้างความรัก สามัคคีให้มีต่อกันประดุจเดิมจะได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขเหมือนที่เคยอยู่ร่วมกันมา แต่ท่านเอาแต่ดื้อรั้นทิฐิไม่คำนึงว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก และไม่ยอมรับทราบ คำสั่งที่เรียกท่านมาพบก็เป็นคำสั่งที่ถูกทำนองคลองธรรมของผู้บังคับบัญชาที่สามารถจะเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาพบได้ในเวลาที่มีเหตุไม่ปกติเกิดขึ้นกับผู้นั้น จึงขอให้ท่านทบทวนการกระทำของท่านและวินิจฉัยตัวท่านเองว่าท่านผิดถูกอย่างไร แล้วรายงานให้ข้าพเจ้าทราบในวันที่ 26ตุลาคม 2531 ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้รับรายงานของท่านตามกำหนด ข้าพเจ้าจะรายงานผู้บังคับบัญชาชั้นสูงต่อไปคือกระทรวงศึกษาธิการ” และลงนามจำเลยที่ 2 ระบุตำแหน่งผู้จัดการ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่าคำสั่งดังกล่าวของจำเลยที่ 2 เป็นคำสั่งเลิกจ้างโจทก์หรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวมีข้อความกล่าวถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และในตอนท้ายระบุให้โจทก์ทบทวนการกระทำของโจทก์เอง และวินิจฉัยว่าโจทก์กระทำผิดถูกอย่างไรแล้วรายงานให้จำเลยที่ 2 ทราบในวันที่ 26 ตุลาคม 2531 ถ้าจำเลยที่ 2 ไม่ได้รับรายงานของโจทก์ตามกำหนด จำเลยที่ 2 จะรายงานผู้บังคับบัญชาชั้นสูงต่อไป คือ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีความหมายว่าให้โจทก์พิจารณาทบทวนการกระทำของโจทก์เองว่าที่กระทำไปนั้นผิดถูกอย่างไร แล้วรายงานให้จำเลยที่ 2 ทราบเท่านั้นไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุสั่งให้โจทก์ออกจากงาน ปลดโจทก์ออกจากงานหรือไล่โจทก์ออกจากงานอันเป็นการเลิกจ้างโจทก์แต่อย่างใด แม้ในคำสั่งดังกล่าวจะมีข้อความว่าโจทก์เอาแต่ดื้อรั้นทิฐิไม่คำนึงว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก ก็เป็นข้อความเพียงแต่ตำหนิการกระทำของโจทก์ที่ไม่ยอมไปพบจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการโรงเรียนตามที่สั่งให้ไปพบ และจะถือว่าเมื่ออ่านข้อความดังกล่าวนี้ประกอบกับข้อความที่ให้โจทก์พิจารณาตนเองหรือวินิจฉัยตนเอง แล้วเป็นการไล่โจทก์ออกจากงานโดยใช้ถ้อยคำสุภาพดังที่โจทก์อุทธรณ์นั้น ก็ไม่ได้มีความหมายให้เข้าใจไปได้ว่าเป็นเช่นนั้น คำสั่งดังกล่าวของจำเลยที่ 2 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ต่อไป ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน