แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ข้อสัญญาเช่าซื้อซึ่งมีข้อความว่า ถ้าผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือยึดทรัพย์ที่เช่าซื้อคืน ผู้เช่าซื้อยังต้องรับผิดชดใช้เงินค่าเช่าซื้อทุกงวดที่ค้างชำระพร้อมเบี้ยปรับร้อยละ 20 ของเงินดังกล่าวนั้น เป็นข้อกำหนดการชำระค่าเช่าซื้อระหว่างที่ยังมิได้มีการเลิกสัญญากันพร้อมทั้งเบี้ยปรับกรณีผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ มิใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น เมื่อมีการเลิกสัญญากันผู้เช่าซื้อจึงมีหน้าที่ชำระค่าเช่าซื้อก่อนเลิกสัญญาทั้งหมด ส่วนเบี้ยปรับสูงเกินส่วนศาลฎีกาให้ลดลงเป็นดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินฐานผิดสัญญาเช่าซื้อ 100,200.90 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์เป็นเงิน 100,200.90 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่19 มิถุนายน 2525 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า โคโรล่า หมายเลขทะเบียน 7ง-5334 ไปจากโจทก์ในราคา 245,050 บาท โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินดาวน์ให้โจทก์ไป 60,000 บาท และได้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อไปแล้ว 8 งวด เป็นเงิน 54,456 บาทรวมเป็นเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ชำระให้โจทก์ไปทั้งสิ้น114,456 บาท แล้วจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระงวดค่าเช่าซื้อตั้งแต่เดือนเมษายน 2526 เป็นต้นไป โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและยึดรถคืนไปจากจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2527 จำเลยที่ 1ยังค้างชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่เดือนเมษายน 2526 ถึงเดือนเมษายน2527 ที่โจทก์บอกเลิกสัญญารวม 13 งวด เป็นเงิน 88,491 บาทปัญหามีว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระจนถึงวันบอกเลิกสัญญา และเบี้ยปรับตามสัญญาจากจำเลยทั้งสองได้หรือไม่เพียงใด จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าข้อสัญญาตามเอกสารหมาย จ.3ข้อ 6 ซึ่งมีข้อความว่า ถ้าเจ้าของบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือยึดทรัพย์ที่เช่าซื้อคืน ผู้เช่าซื้อยังต้องรับผิดชดใช้ค่าเช่าซื้อทุกงวดที่ค้างชำระพร้อมเบี้ยปรับนั้น เป็นข้อสัญญาที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574ซึ่งบัญญัติให้ผู้เช่าซื้อได้แต่รับเงินทั้งหมดที่ส่งใช้มาแล้วและเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าซื้อเท่านั้นบทบัญญัตินี้ต้องการคุ้มครองประชาชนส่วนใหญ่มิให้เสียเปรียบ ข้อสัญญาดังกล่าวถือว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นเพียงข้อกำหนดการชำระค่าเช่าซื้อระหว่างที่ยังมิได้มีการเลิกสัญญากันพร้อมทั้งเบี้ยปรับกรณีผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเท่านั้น มิใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ จำเลยที่ 1 ก็จักต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อนั้นโดยต้องชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ตรงตามกำหนดเวลาจนกว่าจะมีการเลิกสัญญากันหากจำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์จะชำระค่าเช่าซื้อหรือไม่สามารถชำระค่าเช่าซื้อต่อไปได้ จำเลยที่ 1 ก็ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืน เมื่อยังมิได้มีการเลิกสัญญาเช่าซื้อทั้งจำเลยที่ 1 ก็มิได้ส่งทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ แต่กลับใช้ทรัพย์นั้นตลอดมา จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ชำระค่าเช่าซื้อก่อนที่จะมีการเลิกสัญญากันทั้งหมด ซึ่งปรากฏว่าได้ค้างชำระอยู่ 13 งวด เป็นเงิน 88,491 บาท สำหรับเบี้ยปรับฐานผิดนัดที่โจทก์เรียกร้องมาร้อยละ 21 ต่อปี (ซึ่งที่ถูกตามสัญญาเป็นร้อยละ 20 ต่อปี) นั้น เห็นว่า เป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ หากกำหนดไว้สูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ซึ่งศาลฎีกาเห็นควรกำหนดให้ชดใช้เป็นดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์แล้วครบ 7 วัน ตามเอกสารหมาย จ.5, จ.7 คือวันที่ 10 ตุลาคม 2527 เป็นต้นไปคดีนี้แม้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาขึ้นมา แต่จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องไม่ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์เป็นเงิน 88,491 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2527 จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ