คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7428/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้จัดพิมพ์หนังสือคัมภีร์เทศน์โดยมีข้อตกลงกำหนดรูปแบบ ในหนังสือต้องระบุตราของพุทธธรรมคัมภีร์ที่อยู่ของพุทธธรรมคัมภีร์ที่ชัดเจน ชื่อ ท. ผู้เรียบเรียง และข้อความระบุว่า “การพิมพ์ครั้งนี้ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว” “สงวนลิขสิทธิ์” และ “ฉบับปรับปรุงใหม่ระหว่างพุทธธรรมคัมภีร์กับคลังนานาธรรม” ส.และ ว. บุตรโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมหนังสือคัมภีร์ที่ ท. เป็นผู้ประพันธ์ อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ทำซ้ำงานวรรณกรรมโดยโจทก์ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือสัญญา และโจทก์ได้ทำสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตัวแทนจำหน่ายกับจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำหน่ายหนังสือคัมภีร์เทศน์จำนวน 28 เรื่องที่ ท.เป็นผู้สร้างสรรค์ พฤติการณ์ที่โจทก์ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ์งานวรรณกรรม และที่โจทก์ได้ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้จัดพิมพ์หนังสือคัมภีร์เทศน์และให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำหน่ายหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นอันเป็นวันเดียวกันกับที่โจทก์ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในงานวรรณกรรม ถือได้ว่าโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ทำซ้ำงานวรรณกรรมหนังสือคัมภีร์เทศน์ที่ ท. เป็นผู้เขียนอันเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์แล้ว การที่จำเลยที่ 1 จัดพิมพ์หนังสือคัมภีร์เทศน์ ไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม ส่วนจำเลยที่ 2 มีเหตุผลให้เชื่อว่าโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือคัมภีร์เทศน์ซึ่งเป็นงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม
สัญญาจ้างพิมพ์งานกำหนดให้จำเลยที่ 1 ระบุโลโก้ของพุทธธรรมคัมภีร์ลงในหนังสือคัมภีร์เทศน์ที่จัดพิมพ์เท่านั้น มิได้กำหนดให้ระบุโลโก้ในตำแหน่งใดของหนังสือ การที่จำเลยที่ 1 ได้ระบุโลโก้ของพุทธธรรมคัมภีร์ไว้ในหนังสือรูปข่อยแล้ว แม้จะมิได้ระบุไว้ในตำแหน่งที่เหมือนกับตัวฉบับ ถือไม่ได้ว่าเป็นการที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดสัญญาและถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุให้ลูกค้าหลงผิดในความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ว่า ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมหนังสือนั้นเป็นของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบต้นฉบับหนังสือคัมภีร์เทศน์ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดแก่โจทก์นับแต่วันเลิกสัญญาตามสัญญาจ้างพิมพ์งาน ข้อ 8 ส่วนเพลตแม่พิมพ์หนังสือคัมภีร์เทศน์นั้น สัญญาจ้างพิมพ์ข้อ 8 มิได้กำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบให้โจทก์นับแต่วันเวลาเลิกสัญญา คงให้จำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างส่งมอบเฉพาะต้นฉบับหรือแบบตัวอย่างให้โจทก์ผู้ว่าจ้างเท่านั้น กรณีไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบเพลตแม่พิมพ์หนังสือคัมภีร์เทศน์ตามคำขอบังคับท้ายคำฟ้องของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยทั้งสองส่งมอบต้นฉบับวรรณกรรมของนายทวี และเพลตแม่พิมพ์ทั้งหมดคืนแก่โจทก์ กับให้ยึดหนังสือคัมภีร์เทศน์ทั้งหมดที่จำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิดลิขสิทธิ์ต่อโจทก์เพื่อโจทก์จะได้ทำลายทิ้งต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง จำเลยทั้งสองแถลงขอสละข้อต่อสู้ในเรื่องคำฟ้องเคลือบคลุม และไม่ติดใจโต้แย้งว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางต่อไป
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสองรับฟังได้ โจทก์สมรสกับนายทวี เมื่อปี 2519 และมีบุตรคือ นางสาวโสภา และนายวราจิต โจทก์ประกอบธุรกิจโดยใช้ชื่อทางการค้าและเครื่องหมายการค้าคำว่า “พุทธธรรมคัมภีร์” ทั้งได้รับการจดทะเบียนไว้สำหรับสินค้าจำพวกที่ 16 รายการสินค้าหนังสือกัณฑ์เทศน์ ต่อมานายทวีประสงค์จะบวชเป็นพระภิกษุ จึงจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ ระหว่างที่เป็นพระภิกษุตั้งแต่ปี 2524 นายทวีได้เขียนหนังสือคัมภีร์เทศน์ไว้หลายชุด นายทวีลาสิกขาเมื่อปี 2534 โดยกลับมาอยู่กินกับโจทก์ นายทวีถึงแก่ความตาย ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต่าง ๆ ของนายทวีจึงตกทอดแก่นางสาวโสภาและนายวราจิตซึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายทวีในฐานะทายาทโดยธรรม ต่อมานางสาวโสภาและนายวราจิตได้โอนลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมเหล่านั้นให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ซึ่งเคยสั่งซื้อหนังสือในนามของบริษัทจำเลยที่ 2 ไปพบโจทก์ที่บ้านและเสนอขอร่วมทุนจัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือที่นายทวีเป็นผู้เขียน ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันให้จำเลยที่ 1 จัดพิมพ์หนังสือคัมภีร์เทศน์ชุดละ 500 เล่ม รวมจำนวน 28 ชุด เป็นจำนวน 14,000 เล่ม จำเลยที่ 1 จะแบ่งให้โจทก์นำไปขายชุดละ 200 เล่ม และจำเลยที่ 1 ตกลงจ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์จำนวน 350,000 บาท เพื่อให้โจทก์นำเงินไปชำระหนี้ที่โจทก์มีอยู่ต่อโรงพิมพ์ จำเลยที่ 1 ส่งสัญญากู้เงินไปให้โจทก์ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้เงินจำนวน 350,000 บาท โจทก์ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ในหนังสือสัญญาเงินกู้ โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้จัดพิมพ์หนังสือคัมภีร์เทศน์โดยมีข้อตกลงกำหนดรูปแบบว่าในหนังสือต้องระบุว่าตราของพุทธธรรมคัมภีร์ ที่อยู่ของพุทธธรรมคัมภีร์ที่ชัดเจน ชื่อนายทวีผู้เรียบเรียง และระบุข้อความว่า “การพิมพ์ครั้งนี้ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว” “สงวนลิขสิทธิ์” และ “ฉบับปรับปรุงใหม่ระหว่างพุทธธรรมคัมภีร์กับคลังนานาธรรม” นางสาวโสภาและนายวราจิตบุตรโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมหนังสือคัมภีร์เทศน์ที่นายทวีเป็นผู้ประพันธ์อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ทำซ้ำงานวรรณกรรมโดยพิมพ์เป็นหนังสือรูปเล่ม 16 หน้ายก จำนวน 56,000 เล่ม พิมพ์จำหน่ายราคาเล่มละ 70 บาท ซึ่งโจทก์ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิงานวรรณกรรม นอกจากนี้ ในวันเดียวกันนั้น โจทก์ยังได้ทำสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตัวแทนจำหน่ายกับจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำหน่ายหนังสือคัมภีร์เทศน์จำนวน 28 เรื่อง ที่นายทวีเป็นผู้สร้างสรรค์
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมของโจทก์และจำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างพิมพ์งาน และสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตัวแทนจำหน่าย ที่ทำไว้กับโจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์หนังสือสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในงานวรรณกรรม หนังสือสัญญาจ้างพิมพ์งาน และสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตัวแทนจำหน่าย ผู้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิมีเพียงจำเลยที่ 1 ที่เป็นคู่สัญญา บริษัทจำเลยที่ 2 มิได้เป็นคู่สัญญา จำเลยที่ 2 จึงไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ทำซ้ำงานวรรณกรรมหนังสือคัมภีร์เทศน์ที่นายทวีเป็นผู้เขียนอันเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์ ทั้งจำเลยที่ 2 มิใช่ผู้รับจ้างพิมพ์และเป็นตัวแทนจำหน่ายหนังสือ จำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริตได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ทำซ้ำงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ เห็นว่า สำหรับจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องกับคำให้การของจำเลยที่ 1 และทางนำสืบของโจทก์กับจำเลยทั้งสองรับกันว่า โจทก์ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในงานวรรณกรรม ที่นางสาวโสภาและนายวราจิตบุตรโจทก์ทั้งสองได้อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ทำซ้ำงานวรรณกรรมหนังสือคัมภีร์เทศน์ที่นายทวีเป็นผู้สร้างสรรค์ ซึ่งขณะนั้นโจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมเพราะโจทก์ได้รับโอนลิขสิทธิ์จากนางสาวโสภาและนายวราจิตมา พฤติการณ์ที่โจทก์ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์งานวรรณกรรม และที่โจทก์ได้ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้จัดพิมพ์หนังสือคัมภีร์เทศน์และให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำหน่ายหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นนั้น อันเป็นวันเดียวกันกับที่โจทก์ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในงานวรรณกรรม ถือได้ว่าโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ทำซ้ำงานวรรณกรรมหนังสือคัมภีร์เทศน์ที่นายทวีเป็นผู้เขียนอันเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์แล้ว การที่จำเลยที่ 1 จัดพิมพ์หนังสือคัมภีร์เทศน์จึงไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 ปรากฏตามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตัวแทนจำหน่าย ข้อ 2 ว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำหน่ายหนังสือคัมภีร์เทศน์จำนวน 28 เรื่อง ที่นายทวีเป็นผู้สร้างสรรค์ในนามของสำนักพิมพ์คลังนานาธรรม พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองมีเหตุผลให้เชื่อว่าโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือคัมภีร์เทศน์ซึ่งเป็นงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมของโจทก์
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ จำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างพิมพ์งาน และสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตัวแทนจำหน่าย ที่ทำไว้กับโจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์จำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาจ้างพิมพ์งาน ข้อ 3 ที่กำหนดรูปแบบการจัดพิมพ์หนังสือคัมภีร์เทศน์ซึ่งเรียบเรียงโดยนายทวีว่า ต้องมีรูปโลโก้ของพุทธธรรมคัมภีร์ ระบุที่อยู่ของพุทธธรรมคัมภีร์ชัดเจน ระบุชื่อ “นายทวี ผู้เรียบเรียง” กับระบุข้อความว่า “การพิมพ์ครั้งนี้ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว” “สงวนลิขสิทธิ์” (ที่ถูกไม่จำต้องระบุคำนี้ไว้ เพราะการคุ้มครองลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ให้ความคุ้มครองทันทีที่ผู้สร้างสรรค์สร้างงานอันมีลิขสิทธิ์เสร็จ ไม่มีแบบพิธีต้องแสดงการสงวนลิขสิทธิ์ไว้ในงานอันมีลิขสิทธิ์นั้นแต่อย่างใด) และ”ฉบับปรับปรุงใหม่ระหว่างพุทธธรรมคัมภีร์กับคลังนานาธรรม” โดยหนังสือคัมภีร์เทศน์รูปแบบสมุดข่อยชุด “วันสำคัญทางศาสนา” 13 กัณฑ์ จำเลยที่ 1 มิได้ระบุที่อยู่ของพุทธธรรมคัมภีร์กับไม่ได้ระบุข้อความว่า “การพิมพ์ครั้งนี้ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว” และข้อความว่า “ฉบับปรับปรุงใหม่ระหว่างพุทธธรรมคัมภีร์กับคลังนานาธรรม” ส่วนหนังสือคัมภีร์เทศน์รูปแบบสมุดชุด “ไตรมาสเทศนา” 12 กัณฑ์ จำเลยที่ 1 มิได้ระบุที่อยู่ของพุทธธรรมคัมภีร์ และมิได้ระบุข้อความว่า “ฉบับปรับปรุงใหม่ระหว่างพุทธธรรมคัมภีร์กับคลังนานาธรรม” ทั้งนี้ โดยจำเลยที่ 1 มีเจตนาให้ลูกค้าประจำและทั่วไปเข้าใจว่าหนังสือเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทจำเลยที่ 2 นอกจากนี้ หนังสือรูปแบบสมุดข่อยรูปโลโก้ของพุทธธรรมคัมภีร์ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ทำกลับใส่ไว้ในตำแหน่งอื่นไม่เหมือนกับต้นฉบับของโจทก์ ส่วนหนังสือรูปแบบสมุดจำเลยที่ 1 ไม่ใส่โลโก้ของพุทธธรรมคัมภีร์ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ด้วยเจตนาให้ลูกค้าหลงผิดในความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างพิมพ์งาน ในข้อที่จำเลยที่ 1 มิได้ระบุที่อยู่ของพุทธธรรมคัมภีร์ในหนังสือคัมภีร์เทศน์ ปัญหาว่า ที่จำเลยที่ 1 มิได้ระบุข้อความในหนังสือคัมภีร์เทศน์ว่า “การพิมพ์ครั้งนี้ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว” และมิได้ระบุข้อความว่า “ฉบับปรับปรุงใหม่ระหว่างพุทธธรรมคัมภีร์กับคลังนานาธรรม” ในหนังสือคัมภีร์เทศน์เป็นการกระทำโดยจำเลยที่ 1 มีเจตนาให้ลูกค้าประจำและลูกค้าทั่วไปเข้าใจว่าหนังสือคัมภีร์เทศน์เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทจำเลยที่ 2 และเป็นผลให้ตัวแทนจำหน่ายหนังสือนั้นเกือบทั้งหมดติดต่อซื้อหนังสือจากจำเลยที่ 2 ไม่ติดต่อซื้อจากโจทก์ จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายนั้น ในปัญหานี้ เฉพาะข้อความว่า “การพิมพ์ครั้งนี้ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว” มีปรากฏอยู่แล้วในหนังสือคัมภีร์เทศน์ ในหน้าคำปรารภ คงไม่มีข้อความเฉพาะที่กล่องบรรจุหนังสือคัมภีร์เทศน์รูปแบบสมุดข่อยเท่านั้น ปรากฏแจ้งชัดในหนังสือคัมภีร์เทศน์ “ไตรมาสเทศนา” 12 กัณฑ์ และที่กล่องบรรจุหนังสือคัมภีร์เทศน์รูปแบบสมุดข่อยชุด “วันสำคัญทางศาสนา” 12 กัณฑ์ว่า จำเลยที่ 1 ได้จัดพิมพ์ข้อความว่า “นายทวี” เป็นผู้เรียบเรียงตรงตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างพิมพ์งาน และระบุข้อความว่า จัดพิมพ์จำหน่ายโดยพุทธธรรมคัมภีร์ หมายเลขโทรศัพท์ของพุทธธรรมคัมภีร์และบริษัทจำเลยที่ 2 ที่อยู่กับหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 มิได้ระบุข้อความว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้สร้างสรรค์งานวรรณกรรมหนังสือคัมภีร์และมิได้ระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมนั้นแต่อย่างใด คงระบุไว้ชัดเจนว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ร่วมจัดพิมพ์จำหน่ายกับพุทธธรรมคัมภีร์ ซึ่งย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าพุทธธรรมคัมภีร์และบริษัทจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือคัมภีร์เทศน์เท่านั้น การที่จำเลยที่ 1 มิได้ระบุข้อความที่กล่องบรรจุหนังสือคัมภีร์เทศน์ว่า “การพิมพ์ครั้งนี้ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว” และมิได้ระบุข้อความว่า “ฉบับปรับปรุงใหม่ระหว่างพุทธธรรมคัมภีร์กับคลังนานาธรรม” หาอาจทำให้ผู้ซื้อหนังสือคัมภีร์เข้าใจว่าหนังสือคัมภีร์เทศน์เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทจำเลยที่ 2 อันจะเป็นผลให้ตัวแทนจำหน่ายหนังสือนั้นนี้ติดต่อซื้อหนังสือจากจำเลยที่ 2 โดยไม่ติดต่อซื้อจากโจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย หากตัวแทนจำหน่ายหนังสือนั้นจะติดต่อสั่งซื้อจากโจทก์ก็สามารถทำได้โดยง่ายเพราะในหนังสือ และที่กล่องบรรจุหนังสือระบุหมายเลขโทรศัพท์ของพุทธธรรมคัมภีร์ไว้ถึง 2 หมายเลข นอกจากนี้ยังปรากฏในหน้าคำปรารภในหนังสือว่า “พุทธธรรมคัมภีร์ (โจทก์) ได้พิมพ์หนังสือเทศน์ของอาจารย์ทวี มาเป็นเวลานานแต่ไม่เคยจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มหนังสือมาก่อน และปัจจุบันนี้พุทธธรรมคัมภีร์จึงได้เห็นสมควรว่า ควรจะจัดพิมพ์คัมภีร์เทศน์ของอาจารย์ทวีเป็นรูปเล่มของหนังสือขึ้น โดยคงเนื้อความไว้เหมือนเดิมทุกอย่าง” หนังสือคัมภีร์เทศน์ที่จำเลยที่ 1 พิมพ์จึงมิได้ปรับปรุงเนื้อหาสาระในงานวรรณกรรมของนายทวีแต่อย่างใด ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 มิได้ระบุในหนังสือ และที่กล่องหนังสือ ซึ่งข้อความว่า “ฉบับปรุงปรุงใหม่ระหว่างพุทธธรรมคัมภีร์กับคลังนานาธรรม” กลับจะตรงกับข้อเท็จจริงในการจัดพิมพ์ว่าได้คงเนื้อความของคัมภีร์เทศน์ที่นายทวีเป็นผู้เรียบเรียงไว้เหมือนเดิมทุกประการโดยมิได้มีการแก้ไขปรับปรุงแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 1 มิได้ระบุข้อความที่กล่องบรรจุหนังสือว่า “การพิมพ์ครั้งนี้ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว” และมิได้ระบุข้อความว่า “ฉบับปรับปรุงใหม่ระหว่างพุทธธรรมคัมภีร์กับคลังนานาธรรม” ในหนังสือและที่กล่องบรรจุหนังสือ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างพิมพ์งาน และสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิตัวแทนจำหน่าย ที่ทำไว้กับโจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าหนังสือรูปแบบสมุดข่อย รูปโลโก้ของพุทธธรรมคัมภีร์ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ทำกลับใส่ไว้ในตำแหน่งอื่นไม่เหมือนกับต้นฉบับของโจทก์ และหนังสือรูปแบบสมุด จำเลยที่ 1 ไม่ได้ใส่โลโก้ของพุทธธรรมคัมภีร์ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ด้วยเจตนาให้ลูกค้าหลงผิดในความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมหนังสือว่าลิขสิทธิ์เป็นของจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่า สัญญาจ้างพิมพ์งานได้กำหนดให้จำเลยที่ 1 ระบุโลโก้ของพุทธธรรมคัมภีร์ลงในหนังสือคัมภีร์เทศน์ที่จัดพิมพ์เท่านั้น มิได้กำหนดให้ระบุโลโก้ในตำแหน่งใดของหนังสือ การที่จำเลยที่ 1 ได้ระบุโลโก้ของพุทธธรรมคัมภีร์ไว้ในหนังสือรูปแบบข่อยแล้ว แม้จะมิได้ระบุไว้ในตำแหน่งที่เหมือนกับต้นฉบับของโจทก์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดสัญญา ส่วนที่จำเลยที่ 1 มิได้ระบุโลโก้ของพุทธธรรมคัมภีร์ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไว้ในหนังสือ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุให้ลูกค้าหลงผิดในความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ว่าลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมหนังสือนั้นเป็นของจำเลยที่ 2 เพราะการระบุเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่หนังสือก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า สินค้าหนังสือคัมภีร์เทศน์ที่ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์นั้นแตกต่างกับสินค้าหนังสือคัมภีร์เทศน์ที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น หาได้เกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมหนังสือคัมภีร์เทศน์แต่อย่างใดไม่ทั้งในหนังสือคัมภีร์เทศน์ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า “ทวี” เป็นผู้เรียบเรียง จัดพิมพ์จำหน่ายโดยพุทธธรรมคัมภีร์และบริษัทจำเลยที่ 2 กรณีไม่อาจทำให้ผู้ซื้อหลงผิดว่าหนังสือ เป็นลิขสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 อันเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ในส่วนนี้จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างพิมพ์งาน ที่ทำไว้กับโจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องสำหรับคำขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้ยกคำขอยึดหนังสือคัมภีร์เทศน์ทั้งหมดที่จำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิดลิขสิทธิ์ต่อโจทก์เพื่อโจทก์จะได้จัดการทำลายทิ้งต่อไปนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนนี้ทั้งหมดฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายว่า จำเลยทั้งสองต้องส่งมอบต้นฉบับวรรณกรรมของนายทวี และเพลตแม่พิมพ์ทั้งหมดคืนให้แก่โจทก์หรือไม่ ตามสัญญาจ้างพิมพ์งานข้อ 8 ว่า “เมื่อผู้ว่าจ้าง(โจทก์) บอกเลิกสัญญาแล้ว ผู้รับจ้าง (จำเลยที่ 1) จะต้องส่งมอบต้นฉบับหรือแบบตัวอย่างให้แก่ผู้ว่าจ้าง(โจทก์)โดยเร็วนับตั้งแต่วันเวลาเลิกสัญญา” เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาจ้างพิมพ์งาน แก่จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 จึงต้องส่งมอบต้นฉบับหนังสือคัมภีร์เทศน์ที่ยังอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดแก่โจทก์นับแต่วันเวลาเลิกสัญญา ตามสัญญาจ้างพิมพ์งาน ข้อ 8 ส่วนเพลตแม่พิมพ์หนังสือคัมภีร์เทศน์ สัญญาจ้างพิมพ์งานข้อ 8 มิได้กำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบให้โจทก์นับตั้งแต่วันเวลาเลิกสัญญาด้วย คงให้จำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างส่งมอบเฉพาะต้นฉบับหรือแบบตัวอย่างให้โจทก์ผู้ว่าจ้างเท่านั้น กรณีจึงไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบเพลตแม่พิมพ์หนังสือคัมภีร์เทศน์นั้นตามคำขอบังคับท้ายคำฟ้องของโจทก์ได้ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบต้นฉบับหนังสือคัมภีร์เทศน์ซึ่งนายทวีเป็นผู้เขียนทั้งหมดคืนแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share