คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5006/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกซึ่งเป็นจำเลยในคดีอื่นร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,178 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ตามทางพิจารณาได้ความว่า ในวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้เฉพาะ ช. จำเลยในอีกคดีหนึ่งพร้อมของกลาง จึงแจ้งข้อหาแก่ ช. ว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ช. ให้การรับสารภาพ โดยอ้างว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากจำเลย และนำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้บ้านจำเลยเพื่อทำการตรวจค้นแต่ไม่พบจำเลย จึงออกหมายจับไว้และต่อมาจึงจับจำเลยได้ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงว่าในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง ช. มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพียงผู้เดียวโดยลำพัง จำเลยไม่ได้เป็นตัวการร่วมกับ ช. กระทำความผิดข้อหานี้ตาม ป.อ. มาตรา 83 ดังที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งเป็นการแตกต่างกันอย่างมากในข้อสาระสำคัญ ศาลต้องพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา192 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2542 เวลากลางวัน จำเลยกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 5850/2542 ของศาลชั้นต้น ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 1,178 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามวันเวลาเกิดเหตุเจ้าพนักงานจับกุมพวกของจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 1,178 เม็ดดังกล่าวเป็นของกลาง ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม 2542 เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 20 ปี คำรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 13 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2542 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายชาตรี คำนึงกิจ ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 1,178 เม็ด นายชาตรีให้การรับสารภาพว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมาจากจำเลย นายชาตรีนำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้บ้านจำเลยเพื่อตรวจค้น แต่ไม่พบจำเลยจึงออกหมายจับจำเลยไว้ ต่อมาจับกุมจำเลยได้เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2542 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายว่าเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2542 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 5850/2542 ของศาลชั้นต้น ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,178 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ตามทางพิจารณาได้ความจากพยานโจทก์คือร้อยตำรวจเอกอัษฎาวุธ ณรงค์ฤทธิ์ จ่าสิบตำรวจวสุธร เอี่ยมสำอาง และพันตำรวจโทประพจน์ เทพวัตร์ ว่าในวันที่ 12 กรกฎาคม 2542 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้เฉพาะนายชาตรี พร้อมด้วยของกลางคือเมทแอมเฟตามีน 1,178 เม็ด จึงแจ้งข้อหาแก่นายชาตรีว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย นายชาตรีให้การรับสารภาพโดยอ้างว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากจำเลย และนำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้บ้านจำเลยเพื่อทำการตรวจค้น แต่ไม่พบจำเลย จึงออกหมายจับไว้ ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม 2542 จึงจับกุมจำเลยได้ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงว่าในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องนายชาตรีมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพียงผู้เดียวโดยลำพัง จำเลยไม่ได้เป็นตัวการร่วมกับนายชาตรีกระทำความผิดในข้อหานี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ดังที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งเป็นการแตกต่างกันอย่างมากในข้อสาระสำคัญ ศาลต้องพิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share