คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8345/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อสิทธิการเช่าตึกแถวได้จากการขายทอดตลาดในราคา1,940,000บาทผู้ร้องได้ชำระราคาครบถ้วนในวันขายทอดตลาดและกรมบังคับได้มีหนังสือถึงศาลแพ่งให้ดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าตึกแถวดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องแล้วแสดงว่าการซื้อขายเสร็จสิ้นลงแล้วคงอยู่ในระหว่างดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าเท่านั้นแต่จำเลยที่1ร้องขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงงดการบังคับคดีไว้เพื่อรอคำสั่งศาลและได้ให้ผู้ร้องรับเงินค่าซื้อสิทธิการเช่าตึกแถวคืนไปบางส่วนโดยเหลือเงินไว้ร้อยละ5ของราคาที่ซื้อได้คิดเป็นเงิน97,000บาทปรากฏว่าการขายทอดตลาดครั้งใหม่มีบุคคลอื่นประมูลได้ในราคา2,320,000บาทซึ่งสูงกว่าราคาที่ผู้ร้องประมูลได้กรณีไม่มีความเสียหายใดๆที่ผู้ร้องจะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา516กรณีไม่มีความเสียหายใดๆที่ผู้ร้องจะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา516กรมบังคับคดีจึงไม่มีสิทธิที่จะริบเงินจำนวนนี้จึงต้องคืนเงินจำนวนนี้แก่ผู้ร้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2533 ผู้ร้องได้ประมูลซื้อสิทธิการเช่าอาคารตึกแถวเลขที่ 846-848 ซอยซุ่นหลีถนนทรงวาด แขวงจักรวรรดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานครจากการขายทอดตลาดของกรมบังคับคดีในราคา 1,940,000 บาทต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดตึกพิพาทดังกล่าวโดยอ้างว่าขายไปในราคาต่ำมาก ระหว่างการไต่สวนผู้ร้องขอคืนเงินที่ชำระไปแล้วบางส่วน เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงินให้ผู้ร้องบางส่วน คงเหลือไว้จำนวน 5 เปอร์เซ็นต์ของราคาที่ซื้อได้ คิดเป็นเงิน 97,000 บาท เพื่อรอคำสั่งของศาล ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1มิได้อุทธรณ์คำสั่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้ส่งหมายนัดไปยังภูมิลำเนาของผู้ร้องเพื่อให้ผู้ร้องนำเงินส่วนที่เหลือไปวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ผู้ร้องมิได้นำเงินที่เหลือไปชำระตามกำหนดเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงนำสิทธิการเช่าตึกพิพาทขายทอดตลาดใหม่ในวันที่ 29 กันยายน 2535 และนายสุชาติ ศรีนิติวงศ์สกุลเป็นผู้ประมูลซื้อสิทธิการเช่าตึกพิพาทได้ ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2535 ขอให้เพิกถอนการประมูลขายสิทธิการเช่าตึกพิพาทที่นายสุชาติซื้อจากการขายทอดตลาดในครั้งหลัง โดยอ้างว่าผู้ร้องไม่เคยได้รับหมายเรียกจากกรมบังคับคดีเลย หมายของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ผู้ร้องนำเงินส่วนที่เหลือไปชำระให้ครบตามสัญญาได้นำไปปิดที่บ้านเลขที่ 8/1 บ้าง 8/2 บ้าง มิใช่ภูมิลำเนาของผู้ร้อง การปิดหมายจึงไม่ชอบ เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีสิทธินำสิทธิการเช่าตึกพิพาทออกประมูลขายทอดตลาดใหม่ ขอให้เพิกถอนการประมูลขายทอดตลาดสิทธิการเช่าตึกพิพาทในวันที่ 29 กันยายน 2535 ให้กรมบังคับคดีโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทให้แก่ผู้ร้องและคืนเงินมัดจำจำนวน97,000 บาท ให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่า การส่งหมายนัดของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งไปยังภูมิลำเนาของผู้ร้องโดยชอบแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องข้อแรกว่า การปิดหมายนัดของพนักงานเดินหมายชอบหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า การส่งหมายนัดให้ผู้ร้องทั้งสามครั้งดังกล่าวจึงเป็นการส่งตามภูมิลำเนาของผู้ร้องโดยชอบแล้ว เมื่อผู้ร้องมิได้นำเงินส่วนที่เหลือไปวางชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกำหนด เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีอำนาจที่จะนำตึกแถวพิพาทออกขายทอดตลาดใหม่ได้ แต่ที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งคืนเงินจำนวน 97,000 บาท ให้ผู้ร้อง โดยได้วินิจฉัยว่ากรมบังคับคดีมีอำนาจริบเงินมัดจำจำนวนดังกล่าวนั้น เห็นว่าเงินจำนวนนี้สืบเนื่องมาจากผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อสิทธิการเช่าตึกแถวได้จากการขายทอดตลาดในราคา 1,940,000 บาท ผู้ร้องได้ชำระราคาครบถ้วนในวันขายทอดตลาดและกรมบังคับคดีได้มีหนังสือถึงผู้พิพากษาศาลแพ่งให้ดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าตึกแถวดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องแล้ว แสดงว่าการซื้อขายเสร็จสิ้นลงแล้วคงอยู่ในระหว่างดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าเท่านั้นแต่จำเลยที่ 1 ร้องขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงงดการบังคับคดีไว้เพื่อรอคำสั่งศาลและได้ให้ผู้ร้องรับเงินค่าซื้อสิทธิการเช่าตึกแถวคืนไปบางส่วน โดยเหลือเงินไว้ร้อยละ 5ของราคาที่ซื้อได้คิดเป็นเงิน 97,000 บาท ปรากฏว่าการขายทอดตลาดครั้งใหม่มีบุคคลอื่นประมูลได้ในราคา 2,320,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาที่ผู้ร้องประมูลได้ กรณีไม่มีความเสียหายใด ๆ ที่ผู้ร้องจะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 516 กรมบังคับคดีจึงไม่มีสิทธิที่จะริบเงินจำนวนนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองให้ยกคำร้องโดยไม่สั่งให้คืนเงินจำนวน 97,000 บาท แก่ผู้ร้องนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนเงินจำนวน 97,000 บาท แก่ผู้ร้องนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share