คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำให้การของจำเลยที่ 2 ปฏิเสธเพียงว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมไม่บรรยายสภาพแห่งข้อหาให้ชัดแจ้ง ทั้งข้อความก็ไม่ต่อเนื่องไม่สามารถเข้าใจข้อความแห่งคำฟ้อง เป็นการยกถ้อยคำในกฎหมายมาอ้าง โดยมิได้บรรยายว่าสภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องของโจทก์ข้อใดที่ไม่ชัดแจ้งและไม่ชัดแจ้งอย่างไร คำให้การจำเลยจึงแสดงเหตุไม่ชัดแจ้ง ไม่มีประเด็นว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกา การฝากและถอนเงินจากบัญชีชื่อของโจทก์เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 เองทั้งหมด โจทก์มิได้รู้เห็นด้วย จึงไม่ผูกพันโจทก์และการที่จำเลยที่ 1 ทุจริตปลอมลายมือชื่อโจทก์ถอนเงินจากบัญชีโจทก์ เป็นการละเมิด ธนาคารจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2โจทก์ขอเปิดบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 042-31-2039-8 หรือเลขบัญชีใหม่ตามระบบคอมพิวเตอร์ 042-3-00755-9/01 เป็นเงินจำนวน 50,000บาท ที่สาขาราชดำริของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ผู้ช่วยผู้จัดการด้านการตลาดเป็นผู้รับฝากเงินดังกล่าว ต่อมา จำเลยที่ 1 ได้ปลอมลายมือชื่อโจทก์ถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวไปทั้งสิ้นเป็นเงิน52,373.29 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 68,259.85 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายสภาพแห่งข้อหาให้ชัดแจ้ง ไม่สามารถเข้าใจได้ จำเลยที่ 1 ได้ลักลอบถอนเงินฝากประจำของโจทก์จริง แต่จำเลยที่ 1 ได้นำเงินเข้าฝากคืนให้แก่โจทก์แล้วตามบัญชี 042-3-00755-9/08 ซึ่งโจทก์ได้ถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวไปแล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน68,259.85 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีประเด็นวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2 ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ประเด็นแรกจำเลยที่ 2 ฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะฟ้องโจทก์อ้างว่าถูกลอบถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 042-3-00755-9/01 โจทก์ฟ้องอาศัยมูลเหตุตามหนังสือของจำเลยที่ 2 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ควรจะต้องเป็นบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 042-3-00755-9/08 มิใช่ 042-3-00755-9/01 คำฟ้องไม่ชัดจำเลยไม่เข้าใจนั้น เห็นว่า คำให้การของจำเลยที่ 2 ปฏิเสธเพียงว่าคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมไม่บรรยายสภาพแห่งข้อหาให้ชัดแจ้ง ทั้งข้อความก็ไม่ต่อเนื่องไม่สามารถเข้าใจข้อความแห่งคำฟ้อง เป็นการยกถ้อยคำในกฎหมายมาอ้าง โดยมิได้บรรยายว่าสภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องของโจทก์ ข้อใดที่ไม่ชัดแจ้ง และไม่ช้ดแจ้งอย่างไร คำให้การจำเลยจึงแสดงเหตุไม่ชัดแจ้ง ไม่มีประเด็นว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ประเด็นข้อสองจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์หรือไม่ จำเลยที่ 2 ให้การและนำสืบรับว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 ได้ทุจริตเบิกเงินจากบัญชีโจทก์เลขที่ 042-3-00755-9/01ไป แล้วกลับอ้างและนำสืบว่าจำเลยที่ 1 ได้นำเงินที่ถอนไปโดยทุจริตนั้น ฝากกลับคืนให้แก่โจทก์แล้ว เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2528 โดยเปิดบัญชีให้โจทก์ใหม่ เลขที่ 042-3-00755/08 ตามเอกสารหมาย ล.5 และสมุดเงินฝากประจำเอกสารหมาย ล.3 ปรากฏตามฟ้องว่าโจทก์ฝากเงินเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2526 แต่จำเลยที่ 1 นำกลับคืนเข้าฝากบัญชีใหม่ให้โจทก์เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2528 คำนวณแล้วช่วงเวลาห่างกันถึง2 ปีเศษ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การไว้และไม่ได้นำสืบเลยว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำทุจริตถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวของโจทก์ไปเมื่อ วันเดือนปีใด การที่จำเลยที่ 1 กระทำทุจริต จำเลยที่ 2 นายจ้างจะปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่ และจำเลยที่ 2 อ้างและนำสืบว่า โจทก์ได้ถอนเงินตามที่จำเลยที่ 1 ฝากบัญชีใหม่ให้ไปเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2528 ตามใบถอนเงินเอกสาร ล.4 โจทก์ก็นำสืบปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ได้ฝากเงินตามบัญชีใหม่ และไม่เคยเห็นสมุดเงินฝากประจำเอกสารหมาย ล.3 เลย และโจทก์ยังได้นำสืบว่า ใบถอนเงินเอกสารหมาย ล.4 นั้น จำเลยที่ 1ให้โจทก์ลงชื่อลอยไว้ในขณะที่โจทก์ได้เปิดบัญชีเงินฝากประจำเพื่อเป็นประกันในการใช้บัตรเครดิตด้วย ทั้งจำเลยที่ 2 ก็นำสืบว่าจากการสอบสวนปรากฏแน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้เอกสารหมาย ล.4 ดังกล่าวถอนเงินจากบัญชีใหม่ที่ฝากให้โจทก์ไป ดังนี้จึงเห็นได้ชัดว่าการฝากเงินตามบัญชีใหม่ และการถอนเงินไปจากบัญชีใหม่ชื่อของโจทก์เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 เองทั้งหมด โจทก์มิได้รู้เห็นด้วยจึงไม่ผูกพันโจทก์ และโจทก์นำสืบได้ว่ามีหลักฐานเอกสารที่จำเลยที่ 1 ได้ทุจริตปลอมลายมือชื่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.11 ถอนเงินจากบัญชีโจทก์ไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2527 เป็นเงิน 52,373.29 บาท เป็นการละเมิด จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนตามกันมาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share