แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากพื้นไม้กระดานของโจทก์ซึ่งปลูกอยู่บนที่ชายตลิ่ง กับให้ใช้ค่าเสียหายจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่พิพาท เท่ากับฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ชายตลิ่งใต้พื้นไม้กระดานนั่นเอง แม้จะฟังว่าพื้นไม้กระดานบนที่พิพาทเป็นของโจทก์ก็ตาม แต่ที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304(2) ผู้ใดหามีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองไม่ แม้โจทก์จะได้ครอบครองที่พิพาทมาก่อนแล้วยอมให้จำเลยใช้ที่พิพาทเพื่อวางสินค้าขาย ขนสินค้าลงไปบรรทุกเรือและขึ้นจากเรือ ก็จะถือว่าเป็นการมอบให้จำเลยครอบครองแทนหาได้ไม่เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่จำเลยย่อมมีสิทธิดีกว่าโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากพื้นไม้กระดานของโจทก์บนที่ดินชายตลิ่งซึ่งโจทก์ครอบครองอยู่ แล้วให้จำเลยครอบครองแทนและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท หรือวันละ 35 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกจากที่พิพาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์พื้นไม้กระดานตามฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากพื้นไม้กระดานบนที่ชายตลิ่งคลองดำเนินสะดวกตามแผนที่ท้ายฟ้องห้ามเกี่ยวข้องต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 600 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกจากพื้นไม้กระดานดังกล่าว
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังเป็นยุติว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 21185 เป็นของโจทก์บนที่ดินโฉนดดังกล่าวมีบ้านเลขที่ 70 หมู่ 1 ของโจทก์ปลูกไว้หน้าบ้านโจทก์เป็นทางเดินกว้างประมาณ 1 เมตร เลียบไปตามริมคลองดำเนินสะดวกต่อจากทางเดินไปถึงริมคลองดำเนินสะดวกเป็นที่พิพาทคดีนี้ซึ่งเป็นที่ชายตลิ่ง มีเนื้อที่ประมาณ 20 ตารางวา บนที่พิพาทยกเป็นพื้นไม้กระดานสูงกว่าพื้นดินประมาณ 1.5 เมตร จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่ คดีมีปัญหาสมควรวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เป็นประเด็นแรกก่อน เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องตอนหนึ่งว่า โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากพื้นไม้กระดานของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินที่โจทก์ให้จำเลยครอบครองแทน คือที่ชายตลิ่ง แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยไม่ยอมออกไปอันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ ซึ่งโจทก์ได้ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนจำเลยทั้งสอง ถ้านำที่พิพาทไปให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าอย่างน้อยเดือนละ 1,000 บาท แสดงว่า โจทก์ประสงค์จะฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองให้ออกไไปจากที่ชายตลิ่งใต้พื้นไม้กระดานนั่นเอง และที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องขอบังคับให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากพื้นไม้กระดานดังกล่าว กับให้ใช้ค่าเสียหายจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกจากที่พิพาท ก็เท่ากับขอบังคับให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ชายตลิ่งใต้พื้นไม้กระดานเช่นกันหากโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองใช้ประโยชน์พื้นไม้กระดานนั้นอีกต่อไป ก็ควรใช้สิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองส่งมอบพื้นไม้กระดานคืนแก่โจทก์มากกว่า แม้จะฟังว่าพื้นไม้กระดานบนที่พิพาทเป็นของโจทก์ก็ตาม แต่ที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) ผู้ใดหามีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองไม่ แม้โจทก์จะได้ครอบครองที่พิพาทมาก่อนแล้วยอมให้จำเลยใช้ที่พิพาทเพื่อวางสินค้าขาย ขนสินค้าลงไปบรรทุกเรือและขึ้นจากเรือ ก็จะถือว่าเป็นการมอบให้จำเลยครอบครองแทนหาได้ไม่เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทอยู่ จำเลยย่อมมีสิทธิดีกว่าโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.