แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ได้ใช้คำว่า “ORIENTAL” และ “โอเรียนเต็ล” เป็นเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ และชื่อทางการค้าในกิจการโรงแรมของโจทก์จนมีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปมานานแล้ว โจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายบริการไว้ในจำพวกที่ 42 สำหรับการให้บริการธุรกิจโรงแรมและโมเต็ลโดยมิได้จดทะเบียนในจำพวกธุรกิจบ้านจัดสรรและอาคารชุดไว้ ต่อมาจำเลยได้ใช้คำว่า “ORIENTAL SUITE” และ “โอเรียนเต็ลสวีท” เป็นชื่อโครงการอาคารชุดของจำเลย ธุรกิจอาคารชุดของจำเลยจึงมิใช่จำพวกสินค้าหรือบริการที่โจทก์ได้จดทะเบียนไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าหรือบริการที่ไม่ได้จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 46 วรรคแรก อย่างไรก็ตาม โจทก์ได้ใช้คำว่า “ORIENTAL” เป็นชื่อทางการค้าและชื่อโรงแรมในการประกอบกิจการโรงแรมในระดับ 5 ดาว จนมีชื่อเสียงได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากสาธารณชนทั่วไป โจทก์จึงเป็นเจ้าของและมีสิทธิในชื่อทางการค้า คำว่า “ORIENTAL” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 18 ซึ่งตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว โจทก์มีสิทธิฟ้องบุคคลอื่นที่นำชื่อทางการค้าของโจทก์ไปใช้โดยไม่สุจริตจนทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดว่าเป็นกิจการเดียวกับโจทก์หรือเกี่ยวข้องกับโจทก์และทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของชื่อต้องเสื่อมเสียประโยชน์
การที่จำเลยนำคำว่า “โอเรียนเต็ล” และ “ORIENTAL” ซึ่งเป็นชื่อทางการค้าในกิจการโรงแรมของโจทก์มาใช้เป็นชื่อในโครงการอาคารชุดของจำเลยซึ่งเป็นกิจการที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกิจการโรงแรมของโจทก์เพราะเป็นการให้บริการในเรื่องห้องพักอาศัยเช่นเดียวกัน ประกอบกับโครงการอาคารชุดของจำเลยกับโรงแรมของโจทก์ต่างตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม้จะอยู่คนละฝั่งแต่ก็เยื้องกันไม่มากนับว่าอยู่ใกล้เคียงกัน ย่อมก่อให้เกิดความสับสนหรือหลงผิดต่อสาธารณชนว่ากิจการของจำเลยเป็นกิจการของโจทก์หรือโจทก์มีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องอยู่ด้วย การกระทำของจำเลยที่ใช้ชื่อทางการค้าของโจทก์ที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ จึงเป็นการแอบอ้างเอาชื่อเสียงจากชื่อทางการค้าของโจทก์ไปหาประโยชน์โดยมิชอบ โดยไม่สุจริตและเป็นการละเมิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ห้ามจำเลยใช้คำว่า “ORIENTAL” และ “โอเรียนเต็ล” กับชดใช้ค่าใช้เครื่องหมายคำดังกล่าวแก่โจทก์เดือนละ 71,585 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะเลิกใช้พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาห้ามจำเลยใช้คำว่า “ORIENTAL” และ “โอเรียนเต็ล” กับโครงการอาคารชุดของจำเลยที่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาในซอยสมเด็จเจ้าพระยา 17 ถนนสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้อง (10 กุมภาพันธ์ 2553) ไปจนกว่าจำเลยจะเลิกใช้คำดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ครบกำหนดชำระแต่ละเดือน
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า…คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในประการแรกว่า การที่จำเลยใช้คำว่า “ORIENTAL” และ “โอเรียนเต็ล” กับโครงการอาคารชุดของจำเลยเป็นไปโดยสุจริตหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของจำเลยว่า ก่อนที่จำเลยจะทำโครงการอาคารชุดที่ใช้ชื่อว่า โอเรียนเต็ล สวีท (ORIENTAL SUITE) นี้ จำเลยเคยทำโครงการอาคารชุดมาแล้ว 3 โครงการ โดยทุกโครงการจำเลยตั้งชื่อตามสถานที่ตั้งของโครงการทั้งสิ้นได้แก่ โครงการวิภาวดี สวีท ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ถนนวิภาวดี โครงการสุขุมวิท สวีท ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ถนนสุขุมวิท และโครงการสีลม สวีท ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ถนนสีลม ดังนี้ การที่จำเลยตั้งชื่อโครงการอาคารชุดของจำเลยว่า โอเรียนเต็ล สวีท (ORIENTAL SUITE) โดยมิได้ตั้งชื่อตามสถานที่ตั้งของโครงการซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาในซอยสมเด็จเจ้าพระยา 17 ถนนสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร จึงเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยของจำเลย ข้อที่จำเลยอ้างว่าจำเลยใช้คำว่า “โอเรียนเต็ล” และ “ORIENTAL” ในชื่อโครงการอาคารชุดของจำเลยเนื่องจากภูมิสถาปัตย์ของโครงการหันหน้าเข้าสู่ทางด้านทิศตะวันออก ซึ่งคำว่า “ORIENTAL” มีความหมายว่าทางด้านตะวันออก อันเป็นกุศโลบายให้แก่ลูกค้าที่จะซื้ออาคารชุดของจำเลยว่าจะพบกับความรุ่งโรจน์นั้นก็ไม่สมเหตุสมผล เพราะยังมีคำในภาษาไทยและภาษาต่างประเทศอีกหลายคำที่มีความหมายว่าทางด้านตะวันออกที่จำเลยสามารถนำมาใช้ได้โดยไม่จำต้องใช้คำว่า “โอเรียนเต็ล” และ “ORIENTAL” ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยใช้คำว่า “โอเรียนเต็ล” และ “ORIENTAL” เพราะจำเลยตั้งใจว่าจะตกแต่งภายในอาคารชุดให้เป็นไปในลักษณะตะวันออกอย่างแท้จริง และเพราะเป็นโครงการแรกที่อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาจึงต้องการสื่อความหมายให้ลูกค้าเข้าใจว่าเป็นการใช้ชีวิตอยู่ริมแม่น้ำอันเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวตะวันออกนั้น ตามคำให้การของจำเลยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้ในข้อนี้ไว้ด้วยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัยการที่จำเลยนำคำว่า “โอเรียนเต็ล”และ”ORIENTAL” ซึ่งเป็นชื่อทางการค้าในกิจการโรงแรมของโจทก์มาใช้เป็นชื่อในโครงการอาคารชุดของจำเลยซึ่งเป็นกิจการที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกิจการโรงแรมของโจทก์เพราะเป็นการให้บริการในเรื่องห้องพักอาศัยเช่นเดียวกัน ประกอบกับโครงการอาคารชุดของจำเลยกับโรงแรมของโจทก์ต่างตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม้จะอยู่คนละฝั่งแต่ก็เยื้องกันไม่มากนับว่าอยู่ใกล้เคียงกัน ย่อมก่อให้เกิดความสับสนหรือหลงผิดต่อสาธารณชนว่ากิจการของจำเลยเป็นกิจการของโจทก์หรือโจทก์มีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องอยู่ด้วย การกระทำของจำเลยที่ใช้ชื่อทางการค้าของโจทก์ที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไปทั้งในและต่างประเทศจึงเป็นการแอบอ้างเอาชื่อเสียงจากชื่อทางการค้าของโจทก์ไปหาประโยชน์โดยไม่ชอบ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และเป็นการละเมิดต่อโจทก์
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการต่อไปว่า โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังกล่าวแล้วว่าจำเลยนำชื่อทางการค้าของโจทก์มาใช้ด้วยการโฆษณาขายอาคารชุดของจำเลยและต่อมาปรากฏว่าการดำเนินการก่อสร้างโครงการอาคารชุดของจำเลยหยุดชะงักเพราะไม่มีเงินทำต่อ การกระทำของจำเลยย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณและความน่าเชื่อถือทางการค้าที่โจทก์ได้สั่งสมมานานอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ซึ่งศาลมีอำนาจวินิจฉัยและกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางใช้ดุลพินิจกำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 20,000 บาท นับว่าเหมาะสมแล้ว ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน