คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4658/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ฉ้อฉลโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้กระทำได้นั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138 วรรคสอง (2)
การตีความหนังสือมอบอำนาจท้ายคำฟ้องโจทก์ว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ โจทก์ก็มีสิทธิฎีกาได้
โจทก์อุทธรณ์และฎีกาขอให้พิพากษาว่า สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมตกเป็นโมฆะและขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาชั้นละ 200 บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบหกร่วมกันส่งมอบทรัพย์สินคืน หากคืนไม่ได้ขอให้ร่วมกันชำระเงิน 107,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามคำขอท้ายฟ้องแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ที่ 9 ที่ 11 ถึงที่ 14 และที่ 16 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 8 ที่ 10 และที่ 15 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับยื่นคำบอกกล่าวขอถอนฟ้องจำเลยที่ 8 และที่ 10 โดยผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อท้ายคำร้องว่าไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ตามขอ แล้วโจทก์โดยนายชัยวัฒน์ ผู้รับมอบอำนาจกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ถึงที่ 7 ที่ 9 และที่ 11 ถึงที่ 16 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน มีสาระสำคัญว่า โจทก์กับฝ่ายจำเลยต่างขอถอนฟ้องคดีต่าง ๆ ที่มีต่อกัน โจทก์ไม่ติดใจเรียกทรัพย์สินคืนจากฝ่ายจำเลย และจำเลยที่ 1 ตกลงชำระเงิน 10,000,000 บาท แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลชั้นต้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องนั้น และข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ให้ศาลจดรายงานพิสดารแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความเหล่านั้นไว้ แล้วพิพากษาไปตามนั้น ในวรรคสอง บัญญัติว่า ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้ เว้นแต่ในเหตุต่อไปนี้… (2) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน… การที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์ฉ้อฉลโจทก์เพราะทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้กระทำได้ สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้ออ้างของโจทก์เท่ากับเป็นการกล่าวอ้างว่า คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง (2) ข้อเท็จจริงได้ความตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลฎีกาวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นหาคำแปลที่แท้จริงของหนังสือมอบอำนาจ โดยให้ผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษสำหรับนักกฎหมายที่มีความเป็นกลางและคู่ความทั้งสองฝ่ายยอมรับเป็นผู้แปล ศาลชั้นต้นให้ผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษของสำนักงานศาลยุติธรรม 3 คน แปลหนังสือมอบอำนาจท้ายคำฟ้อง ผู้เชี่ยวชาญทั้งสามแปลหนังสือมอบอำนาจท้ายคำฟ้องว่า ตามหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวไม่มีข้อความว่าโจทก์มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนโจทก์ ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561 และเอกสารคำแปล ส่วนที่จำเลยที่ 11 แถลงต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 ว่าในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์นำต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจมาแสดงซึ่งตามหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมีข้อความว่าโจทก์มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความได้และขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจมาแสดงเพื่อประกอบการพิจารณานั้น ศาลชั้นต้นไม่ได้ดำเนินการให้ จำเลยที่ 11 ไม่ได้คัดค้านแต่ประการใดจึงถือว่าไม่ติดใจคัดค้าน ทั้งตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นวันที่ 21 กันยายน 2560 จำเลยที่ 11 ก็ยอมรับให้ผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษสำหรับนักกฎหมายของสำนักงานศาลยุติธรรมแปลหนังสือมอบอำนาจท้ายฎีกาโจทก์ซึ่งเป็นฉบับเดียวกับหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายคำฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามคำแปลว่า โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนโจทก์ ที่จำเลยที่ 1 ที่ 4 ถึงที่ 7 ที่ 9 และที่ 11 ถึงที่ 16 กล่าวแก้ในคำแก้ฎีกาว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วนั้น เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 10 สิงหาคม 2555 ซึ่งศาลชั้นต้นนัดพร้อมฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยนั้น ในวันดังกล่าว โจทก์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ นายพรนลิน ล่ามภาษาอังกฤษที่ผู้รับมอบอำนาจโจทก์จัดหามา และจำเลยที่ 1 มาศาล ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ให้นายพรนลินแปลและอธิบายสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์ฟัง โจทก์รับว่าสัญญาประนีประนอมยอมความตรงตามวัตถุประสงค์ของโจทก์จึงถือว่าโจทก์ให้สัตยาบันในการกระทำของผู้รับมอบอำนาจโจทก์แล้วนั้น เห็นว่า นายพรนลินเป็นบุคคลที่ผู้รับมอบอำนาจโจทก์จัดหามาและเป็นผู้แปลหนังสือมอบอำนาจแต่ไม่ถูกต้อง คำแปลสัญญาประนีประนอมยอมความของนายพรนลินที่แปลให้โจทก์ฟังจึงไม่น่าเชื่อถือ ทั้งการอธิบายสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์ฟังก็เป็นเพียงการสรุปสาระสำคัญเท่านั้นซึ่งโจทก์ยังอุทธรณ์โต้แย้งว่าไม่ตรงตามความประสงค์ของโจทก์ เชื่อว่าการแปลสัญญาประนีประนอมยอมความอาจไม่ถูกต้อง จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ยอมรับสัญญาประนีประนอมยอมความอันจะเป็นการให้สัตยาบัน ส่วนที่จำเลยที่ 1 ที่ 4 ถึงที่ 7 ที่ 9 และที่ 11 ถึงที่ 16 แก้ฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้ยกปัญหาว่าผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกานั้น เห็นว่า การตีความหนังสือมอบอำนาจท้ายคำฟ้องโจทก์ว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้ เมื่อผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่มีอำนาจ สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ผูกพันโจทก์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง โจทก์อุทธรณ์และฎีกาขอให้พิพากษาว่า สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมตกเป็นโมฆะและขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา เพียงชั้นละ 200 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่โจทก์
พิพากษากลับให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2555 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์

Share