แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
น. ขายนาพิพาทให้แก่จำเลยโดยมิได้แจ้งการขายให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าทำนาทราบ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 41
โจทก์ร้องเรียนต่อกรมการอำเภอเพื่อขอซื้อนาพิพาทจากจำเลยกรมการอำเภอบันทึกเปรียบเทียบคดีไว้ว่า “ให้จำเลยขายนาพิพาทแก่โจทก์ จำเลยไม่ตกลงขายแต่ยินยอมให้โจทก์เช่านาทำต่อไป โจทก์ตกลง ถ้าโจทก์ประสงค์จะซื้อนาพิพาทก็ให้ไปฟ้องร้องต่อศาล “และบันทึกข้อตกลงของโจทก์จำเลยไว้ว่าโจทก์ตกลงเช่าทำนาต่อไป จำเลยยอมให้โจทก์เช่าทำนา แต่ยังไม่ยอมขายให้แก่โจทก์ตามราคาที่โจทก์เสนอ” ดังนี้บันทึกดังกล่าวมีแต่ข้อตกลงเรื่องการเช่านาพิพาทซึ่งแม้จะไม่มีข้อตกลงโจทก์ก็มีสิทธิเช่าจากจำเลย ไม่มีข้อตกลงเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ในเรื่องซื้อนาพิพาทและไม่มีข้อความใดแสดงให้เห็นว่าโจทก์สละสิทธิการซื้อนาพิพาทจากจำเลยแต่มีข้อความว่าถ้าโจทก์จะซื้อนาพิพาทก็ให้ไปฟ้องร้องยังศาล ทั้งตอนท้ายบันทึกยังมีว่าผลการเปรียบเทียบไม่อาจตกลงกันได้ตามความประสงค์ของโจทก์ทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าสิทธิของโจทก์ที่จะซื้อนาพิพาทยังตกลงกันไม่ได้ และยังไม่ได้ตกลงประนีประนอมยอมความกัน จึงไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะซื้อนาพิพาทระงับไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่านาจาก น. ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 ต่อมา น. ขายนาดังกล่าวให้กับจำเลยโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาจากจำเลยในราคาและตามวิธีการชำระเงินที่ น. ขายให้กับจำเลย จึงขอให้จำเลยขายให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อจำเลยซื้อนาแล้ว โจทก์จำเลยได้ตกลงกันต่อเจ้าหน้าที่อำเภอว่า โจทก์ขอเช่านาทำต่อไป จำเลยไม่ขายตามราคาที่โจทก์เสนอ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะไม่ขายให้โจทก์
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ตกลงเช่านาของจำเลยต่อไป สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะซื้อนาพิพาทจากจำเลยระงับไป พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาที่โจทก์จำเลยทำไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เช่านาพิพาทจาก น. ก่อนวันที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 ใช้บังคับ ระยะเวลาการเช่านาจึงมีกำหนด 6 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับตามมาตรา 46 และตามมาตรา 29 การเช่านาย่อมไม่ระงับไปเพราะเหตุโอนกรรมสิทธินาที่เช่า โจทก์จึงมีสิทธิเช่านาพิพาทจากจำเลยจนกว่าจะครบกำหนดเวลา เหตุที่โจทก์ไปร้องเรียนต่อกรรมการอำเภอก็เพื่อขอซื้อนาพิพาทจากจำเลยเป็นข้อสำคัญ กรมการอำเภอบันทึกเปรียบเทียบคดีไว้ว่าให้จำเลยขายนาพิพาทแก่โจทก์ตามมติของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาจำเลยไม่ตกลงขาย แต่ยินยอมให้โจทก์เช่านาทำต่อไป โจทก์ตกลงเช่าถ้าโจทก์ประสงค์จะซื้อนาพิพาทก็ให้ไปฟ้องร้องต่อศาลภายใน 60 วัน และบันทึกข้อตกลงของโจทก์จำเลยไว้ว่า โจทก์ตกลงเช่าทำนาต่อไป จำเลยยอมให้โจทก์เช่าทำนา แต่ยังไม่ยอมขายให้โจทก์ในราคาที่โจทก์เสนอ ดังนั้น บันทึกดังกล่าวมีแต่ข้อตกลงเรื่องการเช่านาพิพาทที่โจทก์ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย แม้ไม่มีข้อตกลงโจทก์ก็มีสิทธิเช่าจากจำเลย ไม่มีข้อตกลงเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ในเรื่องซื้อนาพิพาทและไม่มีข้อความใดแสดงให้เห็นว่าโจทก์สละสิทธิการซื้อนาพิพาทจากจำเลยแต่มีข้อความว่าถ้าโจทก์จะซื้อนาพิพาทก็ให้ไปฟ้องร้องต่อศาล ทั้งตอนท้ายบันทึกยังมีข้อความผลของการเปรียบเทียบไม่อาจตกลงกันได้ตามความประสงค์ของโจทก์ทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าสิทธิของโจทก์ที่จะซื้อนาพิพาทยังตกลงกันไม่ได้และยังไม่ได้ตกลงประนีประนอมยอมความกัน จึงไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะซื้อนาพิพาทระงับไป
พิพากษายืน