คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยติดต่อซื้อขายเศษยางกัน โดยจำเลยรับเงินล่วงหน้าไปจากโจทก์จำนวนหนึ่งเมื่อจำเลยนำยางและเศษยางมาขายให้โจทก์ก็คิดราคายางหักจากเงินที่จำเลยรับไปแล้ว ต่อมามีการคิดบัญชีกันแล้วจำเลยได้ทำหนังสือรับว่ายังมีเงินค่าเศษยางที่จำเลยรับไปล่วงหน้าเหลืออยู่จำนวนหนึ่งโจทก์ฟ้องเรียกเงินที่เหลือนั้นคืน ดังนี้ หาใช่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปตามมาตรา 165(1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ จะนำอายุความ 2 ปี มาใช้บังคับไม่ได้ ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1326/2511)
จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้ที่จำเลยรับสภาพต่อโจทก์ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสิ้นสุดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172,181 ตามหนังสือรับสภาพหนี้นี้จำเลยรับว่าจะผ่อนชำระหนี้โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 2 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2508 ฉะนั้น เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงสุดสิ้นลงเมื่อครบกำหนด 2 ปี ในวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2510 และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันนั้นซึ่งเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 68,198.55 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2508 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปีและยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 15 ต่อปี หลังจากทำสัญญาโจทก์ได้ทวงถามหลายครั้งจำเลยไม่ชำระ จำเลยค้างชำระดอกเบี้ยนับแต่วันทำสัญญาถึงวันฟ้องนานประมาณ 11 ปี โจทก์ขอคิดเพียง 5 ปี ขอให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 5 ปี รวมเป็นเงิน 143,768.75 บาท กับดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 15 ต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ หนังสือสัญญาผ่อนชำระหนี้ไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น และคิดดอกเบี้ยตามฟ้องไม่ถูกต้อง เมื่อปี 2506-2508 จำเลยติดต่อขายยางกับโจทก์ เมื่อคิดบัญชีกันแล้วคงเป็นหนี้โจทก์อยู่ โจทก์ได้ให้จำเลยลงชื่อค้างชำระค่าซื้อขายยางไว้เป็นจำนวนเท่าใดจำไม่ได้ และจะเป็นฉบับเดียวกับที่โจทก์นำมาฟ้องหรือไม่ จำเลยไม่รับรองแต่ต่อมาจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้วไม่มีหนี้สินต่อกัน ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ และเป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าสิ่งของอย่างไร ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและไม่ขาดอายุความจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามหนังสือรับสภาพหนี้ และยังมิได้ชำระ หนี้ดังกล่าวเป็นเงินค่าเศษยางที่จำเลยรับไปล่วงหน้า ซึ่งมีมูลมาจากการซื้อขายเศษยางแก่กัน โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น คงเรียกดอกเบี้ยได้อัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันทำหนังสือรับสภาพหนี้และคิดดอกเบี้ย 5 ปีตามที่โจทก์ขอ พิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวม 119,347.45 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 68,198.45 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลย 2 ข้อคือ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วหรือไม่ในประเด็นข้อแรกข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยติดต่อซื้อขายเศษยางกันโดยจำเลยรับเงินล่วงหน้าไปจากโจทก์จำนวนหนึ่ง เมื่อจำเลยนำยางและเศษยางมาขายให้โจทก์ก็คิดราคายางหักจากเงินที่จำเลยรับไปแล้ว ต่อมามีการคิดบัญชีกันแล้วจำเลยได้ทำหนังสือรับว่ายังมีเงินค่าเศษยางที่จำเลยรับไปล่วงหน้าเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่เหลือนั้นคืน จึงหาใช่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปตามมาตรา 165(1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังที่จำเลยฎีกาไม่ และกรณีเช่นนี้จะนำอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 165(1) มาบังคับไม่ได้ ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1326/2511 ระหว่างบริษัทเพชรทองคำ จำกัด โดยนายมานะ เพชรทองคำ กรรมการ โจทก์ นายณรงค์ วงศ์วรรณ หรือยาทอง จำเลย การที่จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ ตามอายุความแห่งมูลหนี้ที่จำเลยรับสภาพต่อโจทก์ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสุดสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172, 181 ตามหนังสือรับสภาพหนี้นี้ของจำเลยรับว่าจะผ่อนชำระหนี้โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2508 เป็นต้นไป ฉะนั้น เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนด 2 ปีในวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2510 และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันนั้นซึ่งเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2518 ยังไม่เกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ สำหรับประเด็นข้อสองฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์

พิพากษายืน

Share