คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาใน ศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 22 โจทก์อุทธรณ์ใจความว่า จำเลยออกเช็คพิพาทและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้ เป็นการออกเช็คโดยจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและมีเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ อุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวน ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑, ๙๑, ๘๓ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายหรือไม่ คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ โจทก์อุทธรณ์สรุปใจความว่า การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คพิพาท และธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างเหตุผลว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้และโปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย เป็นการร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และการที่จำเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้ไว้ย่อมแสดงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ในขณะที่แลกเช็คแล้วนั้นเห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คหรือไม่ และมีเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวน อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง มิใช่ข้อกฎหมาย
พิพากษายืน.

Share