คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่าโจทก์ผู้ซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งของศาลเป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อพิพาทไว้หรือไม่จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยสุจริตตามที่มาตรา1330แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้หรือไม่เป็นสำคัญดังนั้นเมื่อโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยการซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยชอบศาลอุทธรณ์ภาค2ก็ชอบที่จะวินิจฉัยว่าการซื้อที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลชั้นต้นของโจทก์กระทำโดยสุจริตหรือไม่ เมื่อคำเบิกความของโจทก์ในคดีอาญาตามที่จำเลยแนบมาท้ายฎีกาซึ่งมีใจความแสดงว่าโจทก์เป็นผู้ไม่สุจริตในการซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นพยานหลักฐานที่จำเลยเพิ่งอ้างในชั้นฎีกาจึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง และ แก้ไข คำฟ้อง ว่า โจทก์ เป็น เจ้าของ ผู้มีสิทธิครอบครอง ใน ที่ดิน มือเปล่า ไม่มี หนังสือสำคัญ โดย โจทก์ ได้ ซื้อ ที่ดินแปลง ดังกล่าว มาจาก การ ขายทอดตลาด ของ เจ้าพนักงาน บังคับคดี ตาม คำสั่งของ ศาลชั้นต้น จำเลย และ บริวาร ได้ เข้า ทำประโยชน์ ใน ที่ดิน ดังกล่าวโจทก์ ได้ บอกกล่าว ให้ จำเลย และ บริวาร ขนย้าย ทรัพย์สิน ออก ไป จาก ที่ดินของ โจทก์ แต่ จำเลย ก็ เพิกเฉย ขอให้ บังคับ จำเลย และ บริวาร ออกจากที่ดิน ตาม ฟ้อง และ ห้าม จำเลย กับ บริวาร เข้า เกี่ยวข้อง อีก ต่อไป
จำเลย ให้การ ว่า ภายหลัง จาก การ ซื้อ ขาย ที่ดินพิพาท แล้ว โจทก์ไม่เคย เข้า ไป ครอบครอง ทำประโยชน์ ใน ที่ดินพิพาท โจทก์ จึง ไม่ได้ สิทธิครอบครอง ใน ที่ดินพิพาท และ ไม่มี อำนาจฟ้อง คดี นี้ และ โจทก์ ยัง ฟ้องคดีนี้ เกินกว่า 1 ปี นับแต่ วันที่ จำเลย เข้า ครอบครอง ที่ดิน จึง ขาดอายุความ ใน การ ซื้อ ที่ดินพิพาท จาก การ ขายทอดตลาด นั้น โจทก์ ซื้อโดย ไม่สุจริต โดย ทราบ ดี อยู่ แล้ว ว่า ที่ดิน ดังกล่าว เป็น ที่ดิน ของ จำเลยที่ดินพิพาท ตาม ฟ้อง เป็น ที่ดิน คน ละ แปลง กับ ที่ดิน ของ จำเลย โดย จำเลยได้ ซื้อ ที่ดิน จาก ผู้มีชื่อ และ ได้ เข้า ครอบครอง เป็น เจ้าของ มา โดย ตลอดจน ถึง ปัจจุบัน เป็น เวลา 5 ปี เศษ แล้ว ไม่มี ผู้ใด มา โต้แย้ง คัดค้านแต่อย่างใด ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษากลับ เป็น ว่า ให้ จำเลย และ บริวาร ออก ไป จากที่ดินพิพาท และ ห้าม เกี่ยวข้อง อีก ต่อไป
จำเลย ฎีกา โดย ผู้พิพากษา ที่ ได้ นั่งพิจารณา คดี ใน ศาลชั้นต้นรับรอง ว่า มีเหตุ สมควร ที่ จะ ฎีกา ใน ข้อเท็จจริง ได้
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว สำหรับ ข้อ ฎีกา ของ จำเลยที่ ว่า ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 หยิบยก ประเด็น ปัญหา ที่ ว่า โจทก์ ซื้อ ที่ดินพิพาท จาก การ ขายทอดตลาด ตาม คำสั่ง ของ ศาลชั้นต้น โดยสุจริต หรือไม่ขึ้น มา วินิจฉัย โดย ไม่ชอบ เพราะ ประเด็น ดังกล่าว ยุติ โดย คำวินิจฉัยของ ศาลชั้นต้น แล้ว โดย ที่ โจทก์ ไม่ได้ ยกขึ้น เป็น ประเด็น ใน ชั้นอุทธรณ์ของ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 นั้น เห็นว่า การ ที่ จะ วินิจฉัย ประเด็น ข้อพิพาทที่ ว่า โจทก์ เป็น เจ้าของ และ มีสิทธิ ครอบครอง ใน ที่ดินพิพาท ตาม ที่ศาลชั้นต้น ตั้ง ประเด็น ข้อพิพาท ไว้ หรือไม่ จำเป็น ต้อง ฟัง ข้อเท็จจริงว่า โจทก์ ได้ ซื้อ ที่ดินพิพาท จาก การ ขายทอดตลาด ตาม คำสั่ง ของ ศาลชั้นต้นโดยสุจริต ตาม ที่มา ตรา 1330 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติ ไว้ หรือไม่ เป็น สำคัญ ดังนั้น เมื่อ โจทก์ อุทธรณ์ คำพิพากษาของ ศาลชั้นต้น ต่อ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ว่า โจทก์ เป็น เจ้าของ และ มีสิทธิครอบครอง ใน ที่ดินพิพาท โดย การ ซื้อ ที่ดินพิพาท มาจาก การ ขายทอดตลาดตาม คำสั่ง ของ ศาลชั้นต้น โดยชอบ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ก็ ชอบ ที่ จะ วินิจฉัยว่าการ ซื้อ ที่ดินพิพาท มาจาก การ ขายทอดตลาด ตาม คำสั่ง ของ ศาลชั้นต้นของ โจทก์ กระทำ โดยสุจริต หรือไม่ ข้อ วินิจฉัย ของ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2ดังกล่าว หา ได้ ขัด ต่อ กฎหมาย ดัง ที่ จำเลย กล่าว ใน ฎีกา ไม่ ฎีกา ของ จำเลยใน ปัญหา นี้ จึง ตก ไป ส่วน ที่ จำเลย อ้าง คำเบิกความ ของ โจทก์ ใน คดีอาญาหมายเลขดำ ที่ 2302/2535 ของ ศาลชั้นต้น ที่ ว่า โจทก์ เคย เบิกความ ไว้ใน คดี ดังกล่าว ว่า สาเหตุ ที่ โจทก์ คิดว่า จำเลย เป็น คนร้าย ผู้ยิง โจทก์คง เนื่องมาจาก การ ประมูล ซื้อ ที่ดินพิพาท ของ โจทก์ เพราะ ขณะ นั้น จำเลยทำประโยชน์ อยู่ ใน ที่ดินพิพาท และ จำเลย เคย พูด ขู่ ไว้ ว่า ใคร จะซื้อที่ดินพิพาท จาก การ ขายทอดตลาด ตาม คำสั่ง ของ ศาลชั้นต้น ก็ ลองดูคำเบิกความ ของ โจทก์ ใน คดี ดังกล่าว ตาม ที่ จำเลย แนบ มา ท้าย ฎีกาแสดง ว่า ก่อน ที่ โจทก์ จะ ประมูล ซื้อ ที่ดินพิพาท จาก การ ขายทอดตลาดตาม คำสั่ง ของ ศาลชั้นต้น โจทก์ ทราบ ดี ว่า จำเลย ครอบครอง และ ทำประโยชน์อยู่ ใน ที่ดินพิพาท ก่อน แล้ว โจทก์ จึง เป็น ผู้ ไม่สุจริต ใน การ ซื้อ ที่ดินพิพาท จาก การ ขายทอดตลาด ตาม คำสั่ง ของ ศาลชั้นต้น นั้น เห็นว่าเป็น พยานหลักฐาน ที่ จำเลย เพิ่ง อ้าง ใน ชั้นฎีกา จึง เป็น การ ไม่ชอบศาลฎีกา ไม่รับ วินิจฉัย ให้ คำพิพากษา ของ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ต้องด้วยความเห็น ของ ศาลฎีกา ฎีกา ของ จำเลย ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share