คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1592/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เคยฟ้องโจทก์กับจำเลยที่ 4 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมสัญญาให้ที่ดินซึ่ง ท.ภริยาจำเลยที่ 1 ยกให้โจทก์และจำเลยที่ 4 โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ส่วนจำเลยที่ 4 ยอมรับว่าเป็นจริงตามฟ้อง ศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมสัญญาดังกล่าว คดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาในคดีดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์กับจำเลยที่ 1 หากโจทก์จะขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาคดีดังกล่าวก็ต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207,208 และ 209คือขอให้มีการพิจารณาใหม่ การที่โจทก์มาฟ้องเป็นคดีใหม่ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาคดีก่อนเช่นนี้ย่อมเป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นคำฟ้องซึ่งศาลไม่พึงรับไว้พิจารณา
เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาคดีก่อนเสียแล้ว คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ท. โอนใส่ชื่อตนเองกับจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับมรดกแล้วจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ทำนิติกรรมยกที่ดินแปลงดังกล่าวโอนกลับคืนให้จำเลยที่ 4 ครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ จึงให้จำเลยทั้งสี่ไปดำเนินการเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนต่างๆ เสีย ให้โจทก์กับจำเลยที่ 4 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามเดิม นั้นย่อมไม่เป็นคำฟ้องอันพึงรับไว้พิจารณาเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เยาว์มีนางสอิ้ง บู๊ประเสริฐมารดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2511 นางทรงนครา (บัว ศศะนาวิน) ได้ยกที่ดินโฉนดที่ 3265 ตำบลบางหว้า อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลยที่ 4 คนละครึ่ง การยกให้จำเลยที่ 1 สามีนางทรงนคราได้ให้ความยินยอมแล้ว โจทก์ได้อยู่ร่วมกับนางทรงนคราที่บ้านเลขที่ 25 หมู่ 8 ถนนเพชรเกษม ตำบลบางหว้า อำเภอภาษีเจริญ ตลอดจนนางทรงนคราถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2515 จึงไปอยู่กับมารดาที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อนางทรงนคราถึงแก่กรรมแล้วมารดาโจทก์เป็นผู้เก็บค่าเช่าจากผู้เช่าที่ดินต่อมา ครั้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2517 ผู้เช่าไม่ยอมชำระค่าเช่าอ้างว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินอีกต่อไปแล้ว มารดาโจทก์ได้ไปตรวจหลักฐานที่สำนักงานที่ดินจึงทราบว่าได้มีการเพิกถอนนิติกรรมการยกให้ที่ดินดังกล่าวโดยคำสั่ง (ที่ถูกคำพิพากษา) ศาลแพ่งตามคดีหมายเลขแดงที่ 5617/2516 และได้โอนใส่ชื่อจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทรงนคราแทนและจำเลยที่ 2 โอนใส่ชื่อตนเองกับจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับมรดกแล้วจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ ทำนิติกรรมยกที่ดินแปลงดังกล่าวโอนกลับคืนให้ให้จำเลยที่ 4 โดยยกให้ครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ เมื่อทราบการเพิกถอนแล้วโจทก์จึงทราบว่า เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2516 จำเลยที่ 1 ได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 4 กับโจทก์เป็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีหมายเลขแดงที่ 5617/2516 อ้างว่านางทรงนคราได้ยกที่ดินให้โจทก์และจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 1 ไม่ทราบและไม่ได้ให้ความยินยอม ขอให้เพิกถอนนิติกรรมสัญญาให้ที่ดิน เนื่องจากโจทก์ไม่เคยทราบการฟ้องร้องคดีนั้นจึงไม่มีโอกาสได้เข้าต่อสู้คดี ในที่สุดศาลได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนการยกให้ที่ดินดังกล่าว การที่ศาลแพ่งพิพากษาเช่นนั้นก็เพราะจำเลยที่ 1 ใช้เพทุบายฟ้องโจทก์โดยอ้างข้อความอันเป็นเท็จว่าไม่ได้ยินยอมให้นางทรงนคราทำการโอนที่ดินให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 4 และร่วมกันปกปิดการฟ้องร้องและการดำเนินกระบวนพิจารณา ส่งหมายเรียกและคำฟ้องไปให้โจทก์ที่บ้านเลขที่ 25 หมู่ที่ 8 ตำบลบางหว้า ทั้ง ๆ ที่ทราบว่าโจทก์ได้ย้ายไปอยู่กับมารดาโจทก์แล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสี่ทำให้โจทก์ต้องขาดจากการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ 3265ครึ่งหนึ่ง เฉพาะส่วนของโจทก์มีราคา 4,000,000 บาท และโจทก์ไม่ได้รับค่าเช่าอีกเดือนละ 360 บาท ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาและการบังคับคดีตามคดีหมายเลขแดงที่ 5617/2516 ของศาลแพ่ง ให้จำเลยทั้งสี่ไปดำเนินการเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนต่าง ๆ ให้โจทก์กลับเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 3265 ร่วมกับจำเลยที่ 4 หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ ถ้าไม่สามารถจะคืนที่ดินได้ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้เงินค่าที่ดิน 4,000,000 บาท แก่โจทก์และร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 360 บาท นับแต่เดือนสิงหาคม 2517 จนกว่าจะชำระเสร็จกับชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีจากจำนวนเงิน 4,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1กับนางทรงนครามาก่อน ต่อมาจำเลยที่ 1 ไปทำไร่ที่จังหวัดจันทบุรีนางทรงนคราได้ทำนิติกรรมยกที่ดินแปลงพิพาทให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 4 โดย จำเลยที่ 1ไม่รู้เห็นและยินยอม จำเลยที่ 1 จึงฟ้องจำเลยที่ 4 และโจทก์ต่อศาลแพ่งศาลแพ่งได้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการยกให้นั้น แล้วจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งให้ตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนางทรงนคราแล้วจำเลยที่ 2ที่ 3 ได้ไปทำนิติกรรมการโอนและยกกรรมสิทธิ์ที่พิพาทครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยที่ 4ส่วนที่เหลือเป็นของจำเลยที่ 2 ที่ 3 จำเลยขอตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 5617/2516 ซึ่งถึงที่สุดแล้วขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 4 ให้การว่า โจทก์ทราบถึงการฟ้องคดีหมายเลขแดงที่ 5617/2516มานานแล้ว แต่ไม่สนใจต่อสู้คดีเอง โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การแล้วสั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 5617/2516ของศาลแพ่ง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าตามคำฟ้องของโจทก์มีใจความว่า เมื่อ พ.ศ. 2511 นางทรงนคราภริยาจำเลยที่ 1 ได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนยกที่ดินแปลงพิพาทให้โจทก์กับจำเลยที่ 4 คนละครึ่ง โดยจำเลยที่ 1 ได้ให้ความยินยอม เมื่อนางทรงนคราถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องโจทก์กับจำเลยที่ 4 ต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนการให้อ้างว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้ความยินยอมแก่นางทรงนคราในการโอนที่ดินแปลงพิพาทให้โจทก์กับจำเลยที่ 4 ศาลแพ่งได้พิพากษาให้เพิกถอนการให้ตามคดีหมายเลขแดงที่ 5617/2516 คดีถึงที่สุด แล้วจำเลยสมคบกันนำคำพิพากษาไปเพิกถอนนิติกรรมการยกให้และโอนใส่ชื่อจำเลยที่ 2ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทรงนครา แล้วจำเลยที่ 2 โอนใส่ชื่อตนเองกับจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับมรดกและจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ทำนิติกรรมยกที่ดินแปลงพิพาทคืนให้แก่จำเลยที่ 4 ครึ่งหนึ่ง เช่นนี้ คำพิพากษาตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5617/2516 ย่อมผูกพันโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 แม้ศาลแพ่งจะได้พิจารณาพิพากษาไปโดยโจทก์ (จำเลยในคดีนั้น) ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาคดีดังกล่าวนั้น กฎหมายได้บัญญัติวิธีการไว้แล้ว คือต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 207, 208 และ 209 ซึ่งถ้าโจทก์ขอให้มีการพิจารณาใหม่และความจริงเป็นดังที่โจทก์กล่าวอ้าง คำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีก่อนนั้นอาจถูกพิพากษาเพิกถอนไปได้โดยปริยาย การที่โจทก์มายื่นฟ้องคดีใหม่ ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาก่อน ซึ่งศาลพิจารณาพิพากษาไปโดยโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้โจทก์แพ้คดีเช่นนี้ย่อมเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 207, 208 และ 209 และการที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปดำเนินการทางทะเบียนให้โจทก์กลับมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงพิพาทตามที่นางทรงนครา ทำนิติกรรมยกให้แก่โจทก์นั้น ย่อมเห็นได้ชัดว่าศาลจะต้องรื้อฟื้นวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีของคดีหมายเลขแดงที่ 5617/2516 ซึ่งคดีถึงที่สุดไปแล้วนั้นอีก สารสำคัญแห่งการฟ้องคดีใหม่นี้จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นคำฟ้องซึ่งศาลไม่พึงรับไว้พิจารณา

เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาคดีก่อนเสียแล้วคดีไม่อาจบังคับจำเลยที่ 1 ตามคำขอท้ายฟ้องข้ออื่น ๆ ของโจทก์รวมทั้งไม่อาจบังคับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ด้วย คำฟ้องของโจทก์ส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 จึงไม่เป็นคำฟ้องอันพึงรับไว้พิจารณาเช่นกัน

พิพากษายืน

Share