แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญาของศาลคดีเด็กและเยาวชน แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ทั้งบทและกำหนดโทษที่ศาลชั้นต้นวางมา เป็นการแก้มากแต่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กนั้น ถือไม่ได้ว่าพิพากษาลงโทษจำเลยโดยจำคุกเกิน 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22
การกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นการพยายามฆ่า โดยการไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ก่อนที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหาย จำเลยกับพวกผู้เสียหายมีสาเหตุกันด้วยเรื่องผู้เสียหายขับรถเฉียดรถจำเลยแล้วมีการตะโกนท้าทายกันเล็กน้อย ทั้งสองฝ่ายมิได้หยุดรถ ต่อมาจำเลยกลับไปบ้านเอาปืนมายืนตรงที่เกิดเหตุ พอผู้เสียหายขี่รถจักรยานยนต์มา จำเลยก็ยิงเอาโดยไม่มีข้อเท็จจริงใดยืนยันว่าจำเลยมารออยู่เพื่อจะยิงผู้เสียหาย ดังนี้ การกระทำของจำเลยยังไม่ถึงขั้นพยายามฆ่าโดยการไตร่ตรองไว้ก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ปืนลูกกรดยาวยิงนายเติมศักดิ์ วงศ์อินทร์นายพิสัณห์ สิทธิวงศ์ และนายธนูเดช ทรัพย์แสนยากร ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนถนนจิระ หลายนัดโดยเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแต่กระทำไม่บรรลุผล เพราะกระสุนที่จำเลยยิงถูกนายธนูเดชแต่เพียงคนเดียวที่ข้อเท้า กระสุนฝังใน แพทย์ทำการรักษาไว้ทันท่วงทีนายเติมศักดิ์ นายพิสัณห์และนายธนูเดชจึงไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙(๔), ๘๐ และสั่งริบปืนและกระสุนปืน ๔ นัด บรรจุในแมกกาซีนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธว่า ยิงผู้เสียหายเพื่อป้องกันตัวโดยไม่มีเจตนาฆ่าและไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙(๔)ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ ขณะกระทำอายุ ๑๗ ปีเศษ ปรากฏตามรายงานสถานพินิจเสนอความเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวโดยไม่ต้องเอาตัวไว้ฝึกอบรม และบิดาจำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอรับตัวไปดูแลระวังมิให้ก่อเหตุร้าย แต่จำเลยอายุเกิน ๑๗ ปีพ้นเกณฑ์ที่ศาลจะใช้ดุลพินิจในทางไม่ลงโทษ มอบตัวให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๖ จึงเห็นควรลงโทษขั้นต่ำสุด โดยจำคุก ๑๖ ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๖ เหลือจำคุก ๘ ปีลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ อีก ๑ ใน ๔ คงจำคุก ๖ ปีอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๔๙๔มาตรา ๓๑(๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนพ.ศ. ๒๕๐๖ มาตรา ๙ ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก จังหวัดนครราชสีมามีกำหนด ๖ ปี ปืนและกระสุนปืนของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาแต่มิใช่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ ให้จำคุก๑๒ ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา ๗๖ คงจำคุก ๘ ปีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามมาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลย๕ ปี ๔ เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนพ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๖ มาตรา ๑๐ ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดนครราชสีมา มีกำหนดขั้นต่ำ๓ ปี ขั้นสูง ๕ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า เป็นพยายามฆ่าโดยการไตร่ตรองไว้ก่อน
จำเลยฎีกาว่า กระทำเพื่อป้องกันตัว ไม่มีเจตนาฆ่า กับขอให้มีคำสั่งมอบตัวให้บิดามารดา
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนตรวจสำนวนปรึกษาแล้วเห็นว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้บทลงโทษและกำหนดโทษที่ศาลชั้นต้นวางมาเป็นการแก้ไขมาก แต่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดนครราชสีมานั้น ถือไม่ได้ว่าได้พิพากษาให้ลงโทษโดยจำคุกเกิน ๑ ปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ พิเคราะห์ฎีกาของจำเลยแล้ว เห็นว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจะวินิจฉัยฎีกาจำเลยให้ไม่ได้
ส่วนฎีกาของโจทก์ที่เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นการพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่นั้น ในการวินิจฉัย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วมีว่า ก่อนจำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายประมาณ ๓๐ นาที จำเลยกับพวกผู้เสียหายมีสาเหตุกันคือ นายเติมศักดิ์(พวกผู้เสียหาย) ขับรถไปเฉียดรถจำเลยที่ถนนจิระ แล้วมีการตะโกนท้าท้ายกันเล็กน้อยทั้งสองฝ่ายมิได้หยุดรถ คงขับผ่านกันไป ต่อมาจำเลยกลับไปบ้านเอาปืนมายืนตรงที่เกิดเหตุ พอเห็นผู้เสียหายขี่รถจักรยานยนต์มาจำเลยก็ยิงเอา โดยไม่มีข้อเท็จจริงใดยืนยันว่าจำเลยมารออยู่เพื่อจะยิงผู้เสียหาย ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยยังไม่ถึงขั้นพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙(๔), ๘๐ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
แต่เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษาวางโทษก่อนแล้ว จึงลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยเพราะขณะกระทำผิด จำเลยอายุ ๑๗ ปีเศษ ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐จำเลยอายุ ๑๗ ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม ตามมาตรา ๗๖ ให้จำคุกจำเลย ๘ ปี จำเลยรับสารภาพชั้นสอบสวนมีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา ๗๘ ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก ๕ ปี ๔ เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดนครราชสีมา มีกำหนดขั้นต่ำ๓ ปี ขั้นสูง ๕ ปี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. ๒๔๙๔มาตรา ๓๑(๒), ๓๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๖ มาตรา ๙ และ ๑๐ นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์