คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 630/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บทบัญญัติในมาตรา 9 และมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง ที่ห้ามมิให้ผู้ว่าคดีฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามมาตรา 7 เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการก่อน นั้น หมายความเฉพาะคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้
ชั้นแรกพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลยในข้อหาลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ซึ่งเป็นคดีอยู่ในอำนาจของศาลจังหวัดที่จะพิจารณาพิพากษา พนักงานสอบสวนสอบสวนแล้วเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง พนักงานอัยการสั่งให้ฟ้องในข้อหาลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 พนักงานสอบสวน จึงแจ้งข้อหาตามมาตรา 334 ให้จำเลยทราบ และยื่นฟ้องต่อศาลแขวงในวันเดียวกันกรณีนี้ย่อมถือว่าจำเลยถูกจับในข้อหาของคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ตั้งแต่วันแจ้งข้อหาตามมาตรา 334เมื่อได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงภายในกำหนดเวลา 72 ชั่วโมงแล้วจึงไม่มีเหตุที่จะต้องขอผัดฟ้องหรือขออนุญาตจาก อธิบดีกรมอัยการก่อนฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 และให้คืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ก่อนสืบพยาน โจทก์จำเลยแถลงร่วมกัน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อจำเลยถูกจับในวันที่ 25 กันยายน 2512 ถูกแจ้งข้อหาว่าร่วมกับพวกลักทรัพย์ผู้เสียหาย อันเป็นผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335ในวันเดียวกันนั้น พนักงานสอบสวนอนุญาตให้จำเลยมีประกันตัวไปเมื่อสอบสวนเสร็จ พนักงานสอบสวนมีความเห็นไม่ฟ้องจำเลย ส่งสำนวนและความเห็นไปยังพนักงานอัยการ พนักงานอัยการส่งสำนวนคืนพนักงานสอบสวนในวันที่ 5 มกราคม 2513 พร้อมกับสั่งให้ฟ้องจำเลยข้อหาลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ ในวันที่ 8 มกราคม 2513 จำเลยไปพบพนักงานสอบสวนตามนัด จึงแจ้งข้อหาดังกล่าวให้จำเลยทราบ และในวันเดียวกันนั้น โจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงนครศรีธรรมราช

ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาว่าพนักงานสอบสวนหรือผู้ว่าคดีมิได้ขอผัดฟ้องหรือฝากขังจำเลย ทั้งไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการก่อนฟ้องตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499มาตรา 7, 9 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503มาตรา 4 และกรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 8 และไม่เข้าตามมาตรา 10(2) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องขอรับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 ซึ่งบังคับไว้ในมาตรา 9ห้ามมิให้ผู้ว่าคดี ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามมาตรา 7 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503 มาตรา 4 เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการ นั้น หมายความว่า เฉพาะคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ ในกรณีที่พนักงานสอบสวนเห็นควรฟ้อง และผู้ว่าคดีก็เห็นควรสั่งฟ้องจะต้องยื่นต่อศาลภายในกำหนดเวลา 72 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่จำเลยถูกจับ ถ้ามีความจำเป็นไม่สามารถฟ้องให้ทันภายในกำหนด 72 ชั่วโมง ก็ต้องขอผัดฟ้องต่อศาลเป็นคราว ๆ ไป ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 นั้น จนกว่าจะยื่นฟ้องได้ ถ้าปล่อยให้พ้นกำหนดเวลา 72 ชั่วโมงไปโดยมิได้ขอผัดฟ้องก็ดี หรือขอผัดฟ้องขาดตอนไปแล้วจึงมาฟ้องก็ดี จะต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการเสียก่อน จึงจะมีอำนาจฟ้อง แต่กรณีของคดีนี้ปรากฏว่า ชั้นแรกพนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลจังหวัดที่จะพิจารณาพิพากษา เมื่อพนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง และพนักงานอัยการมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องข้อหานี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว การดำเนินคดีตามข้อหามาตรา 335 เป็นอันยุติ แต่ในเวลาเดียวกัน พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องจำเลยในข้อหาลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้เมื่อพนักงานสอบสวนทราบคำสั่งจากพนักงานอัยการดังกล่าวแล้ว พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาตามมาตรา 334 ให้จำเลยทราบในวันที่นัดจำเลยไปพบ กรณีนี้ย่อมถือว่าจำเลยเพิ่งถูกจับในข้อหาของคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ ตั้งแต่วันแจ้งข้อหาตามมาตรา 334 และในวันเดียวกันโจทก์ก็ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแขวง อันเป็นเวลาภายใน 72 ชั่วโมงแล้วจึงไม่มีเหตุที่จะต้องขอผัดฟ้องหรือขออนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการก่อนฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้รับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปตามกระบวนความนั้น ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share