แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ทำไร่ แล้วจำเลยขุดเอาดินจากที่ดินนั้นไปขายโดยทุจริต จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ผิดฐานยักยอก เพราะการเช่าที่ดินนั้น ผู้ให้เช่าให้เช่าทรัพย์สินในสภาพที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อที่ดินถูกขุดขึ้นมาแล้วย่อมเปลี่ยนสภาพเป็นสังหาริมทรัพย์ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เช่า ดินที่ถูกขุดขึ้นมาจึงคงอยู่ในความครอบครองของผู้ให้เช่า (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2527)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าที่ดินของโจทก์ทำไร่ ต่อมามีคนร้ายลักขุดหน้าดินของโจทก์เอาดินไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 ทั้งนี้ จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันลักขุดหน้าดินของโจทก์เจตนาเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้งสองได้รับหน้าดินไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยผิดกฎหมายด้วยเจตนาทุจริตขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335, 337 และ 357
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งให้ประทับฟ้องในความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานลักทรัพย์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(7) จำคุก 2 ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามมาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า โดยทั่วไปผู้เช่าย่อมเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินที่เช่า แต่สำหรับการเช่าที่ดินผู้ให้เช่าทรัพย์สินในสภาพที่เป็นอสังหาริมทรัพย์เมื่อที่ดินถูกขุดขึ้นมาแล้วย่อมเปลี่ยนสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เช่าดินที่ถูกขุดขึ้นมาจึงคงอยู่ในความครอบครองของผู้ให้เช่า จึงมีมติว่า จำเลยที่ 1มีความผิดฐานลักทรัพย์
พิพากษายืน