คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2792/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับนาง ก. ผู้ตายเป็นสามีภรรยากันประมาณ 16 ปีโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 3 คน อยู่กินร่วมเรือนเดียวกันจนถึงวันเกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุ 2 ปี ผู้ตายกับ ท. สนิทสนมกันชอบไปเล่นการพนันด้วยกันและเป็นชู้กัน เวลาจำเลยไม่อยู่บ้าน ท.มาหลับนอนในห้องเดียวกับผู้ตายที่บ้านจำเลย บุตรจำเลยก็เห็นคนอื่นก็เล่าลือกัน จำเลยเคยขอร้องทั้งผู้ตายและ ท. ไม่ให้เกี่ยวข้องกันก็ไม่มีใครเชื่อ ยังนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์กันไปมาเสมอเป็นการกระทบกระเทือนจิตใจของจำเลยเป็นอย่างยิ่งจำเลยมิใช่คนดุร้าย วันเกิดเหตุ ท. ให้ผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปส่งบ้านจำเลยแลเห็นจำเลยขณะจำเลยกำลังเดินไปตามซอยทางเข้าบ้านก็มิได้ส่งผู้ตายลงตรงนั้นกลับขับขี่รถผ่านจำเลยไปห่างเพียง 1 วา ด้วยความทระนงองอาจปราศจากความยำเกรงจำเลยผู้เป็นสามีเป็นการเย้ยหยันสบประมาทอย่างร้ายแรง พฤติการณ์เช่นนี้นับได้ว่าเป็นการกระทำที่กดขี่ข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยพบเห็นภาพดังกล่าวโดยบังเอิญโดยมิได้คาดคิดไม่สามารถอดกลั้นโทสะไว้ได้จึงใช้ปืนยิงผู้ตายกับ ท. ไปในทันทีทันใด ดังนี้ กรณีต้องด้วยมาตรา 72 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 38/2515)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด .32 ยิงนางหมวยหรือกัลยา นามวงษ์ ภรรยาของจำเลยที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและนายเที่ยง ฉากเขียน หลายนัด ขณะที่นายเที่ยงขับขี่รถจักรยานยนต์มีนางหมวยนั่งซ้อนท้าย โดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน นางหมวยถึงแก่ความตาย ส่วนนายเที่ยงได้รับอันตรายสาหัส และจำเลยมีปืนพกรีวอลเวอร์ดังกล่าวหนึ่งกระบอก มีหมายเลขทะเบียนของนายอภิรัตน์ไว้ในครอบครองของจำเลยโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 288, 289, 80, 91พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3 ริบปลอกกระสุนปืนของกลางคืนเจ้าของ

จำเลยให้การรับว่ามีอาวุธปืนไว้โดยไม่รับอนุญาตและได้ใช้ปืนของกลางยิงผู้ตายและผู้เสียหายจริง เพราะผู้ตายเป็นชู้กับผู้เสียหายแล้วพากันไปอยู่ที่อื่น วันเกิดเหตุได้มาที่บ้านจำเลยและหมิ่นประมาทด่าว่าจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยจึงได้กระทำไปโดยบันดาลโทสะ และมิได้กระทำลงโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

นายเที่ยง ฉากเขียน ผู้เสียหายร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต

ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยมีอาวุธปืนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต และใช้ปืนของกลางยิงนางหมวยถึงแก่ความตาย และยิงโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส สาเหตุที่ยิงเกิดจากความหึงหวงที่ผู้ตายกับโจทก์ร่วมมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันมา จำเลยได้พบผู้ตายกับโจทก์ร่วมมาด้วยกันโดยบังเอิญ ก็ใช้ปืนยิงทันที จึงไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำลงโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และการกระทำของจำเลยไม่เป็นการบันดาลโทสะ ข้ออ้างที่ว่า โจทก์ร่วมชักปืนออกมาจะยิงจำเลยและผู้ตายกับโจทก์ร่วมด่าหมิ่นประมาทจำเลย จำเลยจึงบันดาลโทสะ ใช้ปืนยิงไปนั้นฟังไม่ขึ้น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 288, 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ จำคุก 15 ปี ลดโทษตามมาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน คืนอาวุธปืนและปลอกกระสุนแก่เจ้าของ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยยิงผู้ตายและโจทก์ร่วมเพราะผู้ตายชอบเล่นการพนันและทำชู้กับโจทก์ร่วม ทั้งไปด้วยกันโดยเปิดเผยมิได้คำนึงถึงเกียรติยศของจำเลยผู้เป็นสามีและบุตร ขณะเกิดเหตุผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ โจทก์ร่วมมาให้เห็น การที่จำเลยผู้เป็นสามีได้กระทำไปในขณะนั้น ถือว่าจำเลยบันดาลโทสะ กระทำไปโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามมาตรา 72พิพากษาแก้ ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288และ 288, 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯ ลงโทษตามมาตรา 288ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด ประกอบกับมาตรา 72 จำคุก 2 ปี ให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี นอกนั้นยืน

รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งทำความเห็นแย้งว่าควรพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกับนางหมวยผู้ตายเป็นสามีภรรยากันมาประมาณ 16 ปี โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกันที่ยังมีชีวิตอยู่3 คน อยู่ในวัยเยาว์ ผู้ตายชอบเล่นการพนันและสนิทสนมกับโจทก์ร่วมมาก่อนเกิดเหตุราว 2 ปี ผู้ตายกับโจทก์ร่วมชอบไปเล่นการพนันด้วยกัน และโจทก์ร่วมให้ผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์กลับมาส่งบ้านเสมอ เวลาจำเลยไม่อยู่บ้าน บุตรผู้ตายอันเกิดจากจำเลยเห็นโจทก์ร่วมมาหลับนอนในห้องเดียวกับผู้ตายที่บ้านจำเลย จนคนทั่วไปเล่าลือกันว่าผู้ตายกับโจทก์ร่วมเป็นชู้กัน จำเลยก็ทราบเรื่องนี้และอยู่ร่วมบ้านกับผู้ตายตลอดมา จำเลยเป็นคนรักลูกรักเมียและมิใช่คนมีนิสัยดุร้าย โจทก์ร่วมรู้ว่าผู้ตายเป็นภรรยาของจำเลยและมีบุตรด้วยกัน จำเลยเคยเตือนผู้ตายไม่ให้เกี่ยวข้องกับโจทก์ร่วม และขอร้องโจทก์ร่วมไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับผู้ตาย แต่ผู้ตายกับโจทก์ร่วมไม่เชื่อฟัง วันเกิดเหตุเวลา 16.00 นาฬิกาเศษ ภายหลังที่จำเลยเอาหมูที่ซื้อมาจากจังหวัดตราดลงแล้วจำเลย นายลำพูนไปที่ตลาดแล้วจำเลยซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์นายลำพูนไปลงที่ปากซอยกำลังจะเดินเข้าบ้าน ก็พอดีผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์โจทก์ร่วมมา และเลี้ยวรถเข้าปากซอยจะไปบ้านผู้ตาย ผ่านจำเลยห่างราว 1 วา แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมทำตัวสนิทชิดชอบกับผู้ตายในทางชู้สาวและพบปะผู้ตายตลอดมาศาลฎีกาเชื่อว่า จำเลยเคยเตือนผู้ตายไม่ให้เกี่ยวข้องกับโจทก์ร่วมและขอร้องโจทก์ร่วมไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับผู้ตาย ทั้งนี้ เพื่ออนาคตของบุตร แต่ผู้ตายกับโจทก์ร่วมไม่เชื่อฟัง ยังคงนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์กันเสมอ ย่อมก่อความไม่พอใจและความรำคาญใจแก่จำเลยมิใช่น้อย ในฐานะที่จำเลยเป็นสามีย่อมหึงหวงสิ่งที่ตนรัก การกระทำฉันชู้สาวที่ลือกันอยู่ทั่วไปกระทบกระเทือนจิตใจของจำเลยเป็นอย่างยิ่ง วันเกิดเหตุโจทก์ร่วมเอาผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มา เห็นจำเลยเดินเข้าปากซอย แทนที่จะส่งผู้ตายลงตรงนั้นกลับขี่รถผ่านจำเลยไปด้วยความทระนงองอาจปราศจากความยำเกรงจำเลยผู้เป็นสามี เป็นการเยาะเย้ยท้าทายจำเลยว่าได้ทำชู้กันอยู่เรื่อย ๆ แล้วก็ไปมาด้วยกันดังที่เห็นอยู่นี้ จำเลยจะทำไมอันเป็นการยั่วยุอารมณ์ของจำเลย จำเลยมิใช่เป็นคนมีนิสัยดุร้าย แต่เมื่อพบเห็นภาพที่ผู้ตายกับโจทก์ร่วมชู้รักกระทำการเย้ยหยันสบประมาทอย่างร้ายแรงโดยมิได้คาดคิดเช่นนี้ ย่อมเหลือวิสัยที่จำเลยผู้เป็นสามีจะอดกลั้นโทสะไว้ได้ จึงใช้ปืนยิงผู้ตายกับโจทก์ร่วมไปในทันทีทันใดที่พบเห็นศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า พฤติการณ์เช่นนี้นับได้ว่าเป็นการกระทำที่ถูกกดขี่ข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยบันดาลโทสะขึ้นในขณะนั้น จนขาดความยับยั้งชั่งใจ ได้ใช้ปืนยิงผู้ตายกับโจทก์ร่วมไป กรณีจึงต้องด้วยมาตรา 72 พิพากษายืน

Share