คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของหลวง ฉ. มีสิทธิได้รับเงินบำนาญตกทอดของหลวง ฉ. และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับเงินรายนี้การที่ศาลวินิจฉัยด้วยว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับหลวง ฉ. เป็นโมฆะ โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของหลวง ฉ. ห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องขอรับเงินรายนี้ไม่ถือว่าพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์เคยฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสและการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับหลวง ฉ. เป็นโมฆะให้เพิกถอนเสีย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าหลวง ฉ.ถึงแก่ความตาย แล้ว การสมรสย่อมสิ้นสุดลง จึงเป็นฟ้องที่ไม่ควรรับไว้พิจารณา เพราะคำขอของโจทก์ไม่เกิดผลอะไรแก่สิทธิในครอบครัวเป็นเรื่องที่ศาลยังมิได้วินิจฉัยประเด็นตามคำขอของโจทก์ โจทก์ฟ้องคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาชอบด้วยกฎหมายของหลวงฉลาดลิขิตแต่งงานกันเมื่อประมาณ ๕๐ ปีมานี้ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๗๐ หลวงฉลาดลิขิตได้นางทองสุขเป็นภรรยาน้อย ครั้งสุดท้ายหลวงฉลาดลิขิตเป็นนายอำเภอบางมูลนาค จังหวัดพิจิตร ได้ลาออกจากราชการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐หลวงฉลาดลิขิตคงอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ฉันสามีภรรยา มิได้ทิ้งร้างหรือหย่าขาดกัน จนหลวงฉลาดลิขิตถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ ส่วนนางทองสุขถึงแก่กรรมก่อนหลวงฉลาดลิขิต เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๐๙ โจทก์ไปขอรับบำนาญตกทอดของหลวงฉลาดลิขิตเป็นเงิน ๒๐,๙๔๘ บาท จำเลยคัดค้านว่าจำเลยเป็นภรรยาหลวงฉลาดลิขิตโดยจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๐๗ ทางกองคลัง กระทรวงมหาดไทยจึงระงับการจ่ายบำนาญตกทอด จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของหลวงฉลาดลิขิต มีสิทธิได้รับบำนาญตกทอดดังกล่าว ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับเงินรายนี้
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยเป็นภรรยาของหลวงฉลาดลิขิต แต่ได้ละทิ้งร้างกันไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และหลวงฉลาดลิขิตจึงสิ้นสุดไปตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย ปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๙ จำเลยได้เข้ามาอาศัยอยู่กับหลวงฉลาดลิขิต และได้จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่๗ มกราคม ๒๕๐๗ ทั้งหลวงฉลาดลิขิตได้ทำพินัยกรรมตัดโจทก์และบุคคลอื่นซึ่งมิได้ระบุในพินัยกรรมแล้วด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอรับทรัพย์สินหรือสิทธิอันเป็นมรดก และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีของศาลแพ่งหมายเลขดำที่ ๓๓๕/๒๕๑๐ หมายเลขแดงที่ ๑๐๕๑/๒๕๑๐
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำเพราะเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกับคดีที่จำเลยอ้างการสมรสระหว่างจำเลยกับหลวงฉลาดลิขิตเป็นโมฆะพิพากษาว่าโจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของหลวงฉลาดลิขิต มีสิทธิขอรับเงินบำนาญตกทอดของหลวงฉลาดลิขิต ห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องขอรับเงินรายนี้ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ ๖๐๐ บาทแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หลวงฉลาดลิขิตจดทะเบียนสมรสกับจำเลยโจทก์ยังเป็นคู่สมรสของหลวงฉลาดลิขิตอยู่ การจดทะเบียนสมรสของจำเลยจึงเป็นโมฆะ
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเกินคำขอท้ายฟ้องเพราะโจทก์ขอเพียงว่า “ให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของหลวงฉลาดลิขิต มีสิทธิได้รับเงินบำนาญตกทอดของหลวงฉลาดลิขิต และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับเงินรายนี้” แต่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเลยไปว่า การสมรสระหว่างหลวงฉลาดลิขิตกับจำเลยเป็นโมฆะด้วยนั้น เป็นคำพิพากษาที่เกินคำขอ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาว่าโจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของหลวงฉลาดลิขิตหรือไม่ก็จำต้องวินิจฉัยชี้ขาดเสียก่อนว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับหลวงฉลาดลิขิตเป็นการชอบสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่ชี้ขาดว่าการจดทะเบียนสมรสเป็นโมฆะแล้วก็ไม่อาจชี้ขาดว่าโจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของหลวงฉลาดลิขิตตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้
ข้อฎีกาของจำเลยที่ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐๕๑/๒๕๑๐ นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐๕๑/๒๕๑๐ โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสและการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับหลวงฉลาดลิขิตเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนเสียศาลพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่าหลวงฉลาดลิขิตถึงแก่ความตายแล้วการสมรสย่อมสิ้นสุดลง จึงเป็นฟ้องที่ไม่ควรรับไว้พิจารณา ด้วยเหตุที่คำขอของโจทก์ไม่เกิดผลอะไรแก่สิทธิในครอบครัวของโจทก์ ศาลยังหาได้วินิจฉัยในประเด็นตามคำขอของโจทก์ด้วยไม่ ส่วนคดีนี้โจทก์มีคำขอให้โจทก์มีสิทธิได้รับบำนาญตกทอดของหลวงฉลาดลิขิต และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับเงินรายนี้ ฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย ให้จำเลยเสียค่าทนายความชั้นฎีกาแก่โจทก์ ๓๐๐ บาท

Share