คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7923/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เหตุที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องโจทก์ในคดีก่อนเนื่องมาจากคำฟ้องไม่ได้บรรยายว่าข้อความเท็จที่จำเลยทั้งสองในคดีนี้แสดงหรือข้อความจริงที่จำเลยทั้งสองในคดีนี้ปกปิดเป็นอย่างไรทั้งไม่ได้บรรยายว่าจำเลยคนใดหลอกลวงโจทก์ให้สั่งจ่ายเช็คภายหลังที่จำเลยทั้งสองได้โอนที่ดินและอาคารให้แก่จำเลยที่3ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเห็นได้ว่าคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองในคดีก่อนยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาการกระทำของจำเลยทั้งสองว่าได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ถือไม่ได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ตามฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(4)ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 83 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินจำนวน250,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสมบูรณ์ โล่วีรวุฒิ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 ลงโทษ จำเลยที่ 1 ปรับ4,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือใช้เงินจำนวน 250,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมมีว่า ฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2654/2532 (ที่ถูกเป็นคดีหมายเลขดำที่ 5051/2531 แต่ไม่ปรากฏเลขแดง) ของศาลชั้นต้นอันเป็นเหตุให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองนี้ร่วมกับพวกรวม 5 คนในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงกรณีเดียวกับคดีนี้มาครั้งหนึ่งแล้วในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 5051/2531 หมายเลขแดงที่ 2654/2532(ที่ถูกไม่ปรากฏเลขแดง) ของศาลชั้นต้น ดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์บรรยายฟ้องไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามฟ้องจึงไม่ประทับฟ้องโจทก์ ตามสำเนาคำฟ้องพร้อมคำสั่งเอกสารหมาย ล.1โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ตอนต้นกล่าวว่าจำเลยที่ 2 (บุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีนี้) ในฐานะกระทำการแทนจำเลยที่ 1 และในฐานะส่วนตัวใช้กลอุบายหลอกลวงโจทก์แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงอย่างไรอันควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ โจทก์จึงได้หลงเชื่อทำสัญญาจะซื้อขายอาคารและที่ดินตามฟ้องกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทั้งฟ้องโจทก์ที่กล่าวต่อมาว่าหลังจากโอนขายอาคารและที่ดินให้จำเลยที่ 3 ไปแล้ว จำเลยที่ 2ยังนำเอาเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายชำระราคางวดที่ 5 ไปเรียกเก็บเงินอีกนั้นก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 หรือจำเลยคนใดคนหนึ่งได้หลอกลวงให้โจทก์สั่งจ่ายเช็คดังกล่าวหลังจากที่ได้โอนอาคารและที่ดินให้จำเลยที่ 3 ไปแล้ว คำฟ้องของโจทก์จึงขาดองค์ประกอบของการกระทำความผิด พิพากษายืน ตามสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เอกสารหมาย ล.2 เห็นว่า สาเหตุที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องโจทก์และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเช่นนี้ก็เนื่องมาจากคำฟ้องไม่ได้บรรยายว่าข้อความเท็จที่จำเลยทั้งสองในคดีนี้แสดงหรือข้อความจริงที่จำเลยทั้งสองในคดีนี้ปกปิดอย่างไร ทั้งไม่ได้บรรยายว่าจำเลยคนใดหลอกลวงโจทก์ให้สั่งจ่ายเช็คภายหลังที่จำเลยทั้งสองได้โอนที่ดินและอาคารให้แก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเห็นได้ว่าคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาการกระทำของจำเลยทั้งสองว่าได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ถือไม่ได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ตามฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ เมื่อฟังว่าฟ้องโจทก์คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในข้อต่อมาที่ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่จึงยังไม่สมควรวินิจฉัยในชั้นนี้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share