คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า เงินตามเช็คพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยให้การว่าการที่จำเลยนำเงินตามเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีของ ส. เพราะทำตามคำสั่งของ ส.ซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิด ผู้ร้องสอดร้องสอดว่า เงินตามเช็คพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดดังนั้น ศาลมีอำนาจวินิจฉัยว่า ใครเป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คพิพาท ไม่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
แม้ว่าโจทก์จะมีชื่อเป็นผู้ยื่นซองประกวดราคารับเหมาก่อสร้างอาคารเรียนและเป็นผู้ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารเรียนดังกล่าวกับ ก.ก็ตาม เมื่อผู้ร้องสอดอ้างว่า ผู้ร้องสอดยืมชื่อโจทก์มาใช้ในการยื่นซองประกวดราคาและทำสัญญาจ้างเหมาเท่านั้น ส่วนการลงทุนก่อสร้างอาคารเรียน ผู้ร้องสอดแต่ผู้เดียวเป็นผู้ลงทุน ผู้ร้องสอดมีหลักฐานการรับเงินค่าตอบแทนของโจทก์หลักฐานการจ่ายค่าจ้างให้แก่ภริยาจำเลยในการรับจ้างก่อสร้าง และยังมีพยานบุคคลมาสืบว่าได้รับจ้างผู้ร้องสอดก่อสร้างอาคารเรียน เมื่อฟังประกอบกับการที่โจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องสอดเป็นผู้รับเงินค่าจ้างเหมาก่อสร้างจาก ก.ทั้งหมดแทน พฤติการณ์ดังกล่าวส่อแสดงว่าโจทก์เป็นเพียงตัวแทนเชิดของผู้ร้องสอด ในการรับจ้างก่อสร้างอาคารเรียนกับ ก. ดังนั้นแม้ ก.จะจ่ายค่ารับเหมาก่อสร้างอาคารเรียนเป็นเช็คระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงิน และขีดคร่อมระบุให้เข้าบัญชีของผู้รับเท่านั้นก็ตาม เช็คดังกล่าวก็เป็นของผู้ร้องสอด จำเลยนำเช็คพิพาทเข้าบัญชีของ ส.หุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของเงินตามเช็คที่แท้จริงและโจทก์ตกลงให้กระทำได้นั้น การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีเงินได้เป็นค่าจ้างตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ จากกรมสามัญศึกษา ซึ่งได้ชำระด้วยเช็คธนาคารแห่งประเทศไทยรวมสี่ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗,๒๑๑,๖๐๐ บาท เช็คแต่ละฉบับระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินและได้ขีดคร่อมเช็คโดยระบุไว้กลางเส้นที่ขีดคร่อมมีข้อความว่า “เข้าบัญชีผู้รับเท่านั้น” แต่เมื่อห้าง ฯสุรศักดิ์ก่อสร้างกันทรวิชัยตัวแทนโจทก์ได้นำเช็คแต่ละฉบับดังกล่าวไปติดต่อขอให้จำเลยเรียกเก็บเงินจำเลยกลับโอนเงินตามเช็คไปเข้าบัญชีส่วนตัวของนายสุรศักดิ์โดยมิชอบ ขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยเป็นเงิน ๘,๕๒๒,๕๔๓.๖๒ บาท กับดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ธนาคารจำเลยสาขามหาสารคามกระทำโดยสุจริตตามคำสั่งของนายสุรศักดิ์ตัวแทนของโจทก์ ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า โจทก์กับผู้ร้องสอดได้ตกลงกันให้ใช้ชื่อโจทก์เป็นผู้ประมูลงานก่อสร้างโรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ของกรมสามัญศึกษา โดยให้ผู้ร้องสอดเป็นผู้ดำเนินงานทั้งหมดและรับผิดชอบแต่ผู้เดียว และให้เงินค่าก่อสร้างที่จะได้รับจากกรมสามัญศึกษาเป็นของผู้ร้องสอด โจทก์ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องสอดเป็นผู้รับเงินค่าก่อสร้างทั้งหมด และตกลงยินยอมให้ผู้ร้องสอดนำเงินตามเช็คที่รับมาจากกรมสามัญศึกษาเข้าบัญชีของผู้ร้องสอดที่ธนาคารจำเลยสาขามหาสารคาม เงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างก่อสร้างดังกล่าว จึงเป็นเงินของผู้ร้องสอด หากโจทก์ชนะคดีผู้ร้องสอดอาจถูกจำเลยใช้สิทธิไล่เบี้ยได้ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้คำร้องว่า โจทก์เป็นผู้ประมูลงานก่อสร้างและดำเนินงานทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนแล้วเสร็จ เงินตามฟ้องเป็นเงินของโจทก์ การที่ผู้ร้องสอดนำเงินของโจทก์ไปเข้าบัญชีของผู้ร้องสอด จึงเป็นการกระทำผิดหน้าที่ตัวแทนของโจทก์ ขอให้ยกคำร้องสอด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๗,๒๐๗,๙๑๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยยกคำร้องสอด
จำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่าเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นเช็คธนาคารแห่งประเทศไทยที่กรมสามัญศึกษาเป็นผู้สั่งจ่ายโดยระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงิน และเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปโดยมีข้อความว่า “เข้าบัญชีผู้รับเท่านั้น” ต่อมาผู้ร้องสอดซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์ในการรับเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับได้นำเช็คพิพาทแต่ละฉบับมาให้ธนาคารจำเลยสำนักงานใหญ่เรียกเก็บเงินตามเช็คเหล่านั้น และได้ทำคำขอให้ธนาคารจำเลยสำนักงานใหญ่โอนเงินตามเช็คพิพาทแต่ละฉบับโดยทางโทรเลขไปยังธนาคารจำเลยสาขามหาสารคาม ธนาคารจำเลยสำนักงานใหญ่ได้จัดการให้ตามคำขอดังกล่าว แต่ธนาคารจำเลยสาขามหาสารคามกลับนำเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับไปเข้าบัญชีส่วนตัวของนายสุรศักดิ์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้องสอด การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์มิได้รับเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ
ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีไม่มีประเด็นว่า เงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นเงินของใครการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า เช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นของผู้ร้องสอดเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นนั้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นหลัก จำเลยให้การต่อสู้ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดเพราะการที่จำเลยนำเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเข้าบัญชีของนายสุรศักดิ์ตามคำสั่งของนายสุรศักดิ์ตัวแทนของโจทก์และเป็นการกระทำโดยสุจริต นอกจากนี้ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่าเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นของผู้ร้องสอด ดังนั้นศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่า ใครเป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ หาเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
สำหรับประเด็นที่ว่า ใครเป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับนั้น จำเลยและผู้ร้องสอดนำสืบว่า เมื่อประมาณกลางปี ๒๕๒๓ ผู้ร้องสอดได้ยืมชื่อโจทก์ยื่นซองประกวดราคารับเหมาก่อสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ กรมสามัญศึกษา และทำสัญญาจ้างเหมากับกรมสามัญศึกษา โดยผู้ร้องสอดให้ค่าตอบแทนแก่นายสมจิตร อินทะคำภู หุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์เดือนละ๑,๕๐๐ บาท และให้ภริยากับบุตรของนายสมจิตรทำงานก่อสร้างกับผู้ร้องสอดด้วย ผู้ร้องสอดเป็นผู้ทำงานก่อสร้างอาคารเรียนดังกล่าว โดยเป็นผู้ลงทุนแต่ผู้เดียว โจทก์จึงได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องสอดเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างจากกรมสามัญศึกษาทั้งหมด ซึ่งตามสัญญาแบ่งการจ่ายเงินออกเป็น ๕ งวด และโจทก์ตกลงให้ผู้ร้องสอดนำเงินที่ได้รับแต่ละงวดเข้าบัญชีของนายสุรศักดิ์ ศรีสถิตย์ หุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้องสอด บัญชีเลขที่ ๔๗๔ ที่ธนาคารจำเลยสาขามหาสารคาม ต่อมาได้มีการส่งมอบงานรวม๔ งวด งวดแรกเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๒๔ งวดที่ ๔ เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๒๔ โดยกรมสามัญศึกษาได้จ่ายเงินแต่ละงวดเป็นเช็คธนาคารแห่งประเทศไทย รวมสี่ฉบับ จำเลยได้โอนเงินตามเช็คทั้งสี่ฉบับ เข้าบัญชีเลขที่ ๔๗๔ ของนายสุรศักดิ์ ศรีสถิตย์ และจำเลยได้แจ้งการโอนเงินบัญชีดังกล่าวให้โจทก์ทราบทุกครั้ง โจทก์รับทราบแล้วไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านแต่อย่างใด ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องสอดมีหลักฐานการรับเงินค่าตอบแทนของโจทก์และหลักฐานการจ่ายค่าจ้างให้แก่ภริยาจำเลย ปรากฏตามเอกสารหมาย ป.ร.๕ และ ป.ร.๖ ตามลำดับ นอกจากนั้นผู้ร้องสอดมีนายไกรวัล ทะกันจร นายอนันต์มิตรภานนท์ นายผง วงษ์สมศรี นายบุญมี อังกาพย์ เบิกความยืนยันว่าผู้ร้องสอดได้ว่าจ้างให้นายไกรวัลย์เป็นคนทาสีอาคารเรียนที่ก่อสร้าง ซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าจากนายอนันต์มาติดตั้งในอาคารเรียนที่ก่อสร้าง ว่าจ้างนายผงเป็นยามรักษาการณ์และรับสิ่งของที่นำมาใช้ในการก่อสร้างโดยให้นายบุญมีเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง ส่วนโจทก์นำสืบลอย ๆ ว่าโจทก์เป็นผู้ก่อสร้างอาคารดังกล่าวด้วยตนเองนอกจากนี้ข้อที่นายสมจิตรหุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์เบิกความว่า ในระหว่างดำเนินการก่อสร้างอยู่นั้นนายสมจิตรไม่มีเงิน ต้องกู้เงินจากนายสุรศักดิ์หุ้นส่วนผู้จัดการห้างผู้ร้องสอดมาใช้จ่ายเดือนละ๑,๕๐๐ บาท ปรากฎตามเอกสารหมาย ป.ร.๕ นั้น ก็ขัดต่อเหตุผล เพราะหากนายสมจิตรซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์มีความสามารถประมูลงานได้ในราคาเกือบ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาทเช่นนี้นายสมจิตรน่าจะมีความสามารถในการหาเงินมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนได้มากพอสมควร ไม่น่าเชื่อว่าจำเป็นจะต้องกู้ยืมนายสุรศักดิ์ไปใช้จ่ายเพียงเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้างานก่อสร้างอาคารดังกล่าวเป็นของโจทก์เอง ก็ไม่น่าจะมีความจำเป็นที่โจทก์จะต้องมอบให้ผู้ร้องสอดไปรับเงินค่าก่อสร้างแทน เพราะเงินที่จะต้องรับแต่ละงวดมีจำนวนมากถึงงวดละกว่า ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และถ้าเงินค่าจ้างก่อสร้างแต่ละงวดเป็นของโจทก์จริง โจทก์ก็น่าจะคอยคิดตามสอบถามถึงการรับเงินดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อนำเงินมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนต่อไป เพราะโจทก์นำสืบรับว่าขาดเงินทุนหมุนเวียนอยู่ ส่วนข้อที่โจทก์นำสืบว่าได้ติดตามสอบถามการรับเงินของผู้ร้องสอดแล้ว ผู้ร้องสอดแจ้งว่ากำลังโอนเงินอยู่ ก็เป็นเหตุผลไม่น่าเชื่อเพราะการรับเงินแต่ละงวดมีระยะเวลาห่างกันนานนับเป็นเดือน ทั้งเงินที่ได้รับแต่ละงวดมีจำนวนมาก หากโจทก์ยังไม่ได้รับเงินงวดแรก โจทก์ไม่น่าจะปล่อยให้ผู้ร้องสอดรับเงินงวดต่อ ๆ ไปแทนโจทก์อีก แต่กลับปรากฏว่าโจทก์ให้ผู้ร้องสอดรับเงินติดต่อกันถึง ๔ งวด ทั้ง ๆ ที่ระยะเวลานับตั้งแต่งวดที่ ๑ ถึงงวดที่ ๔ ห่างกันเกือบ ๑ ปี และไม่มีบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคารจำเลย หากโจทก์เป็นเจ้าของเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ ซึ่งจะต้องโอนมาเข้าบัญชีของโจทก์จริงแล้ว โจทก์น่าจะขวนขวายเปิดบัญชีไว้ที่ธนาคารจำเลย การที่โจทก์นิ่งเฉยไม่ได้สนใจเช่นนี้ส่อแสดงว่าเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นของผู้ร้องสอดมิใช่ของโจทก์เพราะโจทก์เป็นเพียงตัวแทนเชิดของผู้ร้องสอดในการรับจ้างก่อสร้างอาคารเรียนดังกล่าวเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับตามฟ้องเป็นของผู้ร้องสอด การที่จำเลยนำเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเข้าบัญชีของนายสุรศักดิ์ ศรีสถิตย์ หุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของเงินตามเช็คที่แท้จริง และโจทก์ตกลงให้กระทำได้เช่นนี้ แม้เช็คทั้งสี่ฉบับได้ระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินก็ตามการกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน.

Share