คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3922/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุคคลที่จะอ้างอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา237ได้ต้องเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้อยู่ในขณะที่ลูกหนี้กระทำนิติกรรมโอนทรัพย์สินส่วนการที่พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา113บัญญัติให้ผู้ร้องร้องขอต่อศาลได้เป็นเรื่องกฎหมายล้มละลายให้อำนาจแก่ผู้ร้องในอันที่จะกระทำแทนเจ้าหนี้ได้เป็นกรณีพิเศษโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลในคดีล้มละลายไม่ต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่เท่านั้นฉะนั้นอายุความที่จะใช้บังคับย่อมต้องถือเอาอายุความของเจ้าหนี้ผู้เกี่ยวข้องในขณะที่อาจจะบังคับตามสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้นั้นจริงๆเป็นเกณฑ์พิจารณาจะถือเอาวันที่ผู้ร้องได้รู้ถึงต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนเป็นหลักในการเริ่มต้นนับอายุความไม่ได้เมื่อเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ซึ่งร้องขอให้ผู้ร้องร้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลที่ดินพิพาทได้รู้หรือควรจะรู้เหตุแห่งการเบิกถอนเมื่อวันที่15พฤศจิกายน2527ซึ่งนับถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่24มีนาคม2531เป็นเวลาเกินกว่า1ปีแล้วคำร้องของผู้ร้องจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา240และพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา113

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2529 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2529 และพิพากษาให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2530 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่27 มีนาคม 2521 จำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่17865 ให้ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาของจำเลย ต่อมาวันที่ 28 สิงหาคม 2522 ผู้คัดค้านที่ 1 โอนขายที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ในราคา 100,000 บาท ต่อมาวันที่ 17 ตุลาคม 2526ผู้คัดค้านที่ 2 ได้โอนขายที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 ในราคา2,000,000 บาท และวันที่ 26 ธันวาคม 2528 ผู้คัดค้านที่ 3ให้ผู้คัดค้านที่ 4 เช่าที่ดินมีกำหนดเวลา 30 ปี การที่จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้ผู้คัดค้านที่ 1 โดยเสน่หา ในขณะที่จำเลยมีเจ้าหนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ได้เป็นการฉ้อฉลทำให้เจ้าหนี้ทั้งหลายเสียเปรียบ และผู้คัดค้านที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 3 รวมทั้งผู้คัดค้านที่ 4 ผู้เช่าที่ดินเป็นบุคคลภายนอกแม้จะรับโอนมาก่อนจำเลยถูกฟ้องขอให้ล้มละลายโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก็ไม่ได้รับความคุ้มครองขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 17865 ตำบลกะรน อำเภอเมืองภูเก็ตจังหวัดภูเก็ต ระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 1 ระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 และระหว่างผู้คัดค้านที่ 2 กับผู้คัดค้านที่ 3 และเพิกถอนสิทธิการเช่าที่ดินระหว่างผู้คัดค้านที่ 3กับผู้คัดค้านที่ 4 ตามมาตรา 113 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 ประกอบมาตรา 237 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยให้กลับสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิม ให้ผู้คัดค้านทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ราคาที่ดินเป็นเงินจำนวน 978,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันยื่นคำร้องขอเพิกถอนการโอนเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 17865 จากจำเลยเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2521ขณะโอนจำเลยมิได้เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและผู้คัดค้านที่ 1 ได้หย่าขาดจากจำเลยตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2507 ผู้คัดค้านที่ 1ได้รับโอนมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โดยผู้คัดค้านที่ 1 โอนหุ้นของบริษัทประชายนต์ จำกัด แลกกับที่ดินของจำเลย ผู้คัดค้านที่ 1ไม่ได้รับโอนที่ดินมาเพื่อฉ้อฉลเจ้าหนี้อื่น โจทก์และผู้ร้องรู้เหตุแห่งการเพิกถอนเกิน 1 ปี แล้ว และหากผู้คัดค้านที่ 1 ต้องใช้ราคาที่ดินก็ไม่เกิน 100,000 บาท เท่าราคาที่ผู้คัดค้านที่ 1 ขายไปขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ยื่นคำคัดค้าน
ผู้คัดค้านที่ 3 และที่ 4 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 3และที่ 4 รับโอนและเช่าที่ดินโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และได้รับโอนที่ดินและเช่าที่ดินก่อนมีการขอให้จำเลยล้มละลายและก่อนมีการร้องขอเพิกถอนโดยไม่ทราบว่าจำเลยมีหนี้สินพ้นตัว ผู้ร้องทราบมูลเหตุแห่งการเพิกถอนเกิน 1 ปี แล้ว ผู้คัดค้านที่ 4 เป็นเพียงผู้เช่าไม่ต้องร่วมรับผิดชดใช้ราคาที่ดิน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 1 ชดใช้เงินให้กองทรัพย์สินของลูกหนี้ (จำเลย) จำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอน(วันที่ 24 มีนาคม 2531) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ผู้คัดค้าน ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก คำร้อง
ผู้ร้อง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ตามที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 มิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2529และศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 7มีนาคม 2529 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2530เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2530 เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ผู้ร้องดำเนินการร้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินของจำเลยในคดีนี้ตามเอกสารหมาย ร.1 ซึ่งปรากฎว่าเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2521จำเลยโอนให้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 17865 ตำบลกะรนอำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ตามเอกสารหมาย ร.2 และหนังสือสัญญาให้ที่ดินตามเอกสารหมาย ร.3และเจ้าหนีผู้เป็นโจทก์ได้ทราบการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2527 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการเดียวว่า การขอให้ศาลเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายอาญาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 113 เริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อไร ผู้ร้องฎีกาว่า การนับอายุความใช้สิทธิเรียกร้องขอให้เพิกถอนเริ่มนับตั้งแต่วันที่ผู้ร้องทราบเหตุการโอนโดยฉ้อฉลภายใน 1 ปี ซึ่งในคดีนี้ผู้ร้องทราบเหตุแห่งการโอนดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2530 และได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนการโอนเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2531 ภายในกำหนด1 ปี จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240นั้น เห็นว่า ธรรมดาบุคคลที่จะอ้างอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 ได้ต้องเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้อยู่ในขณะที่ลูกหนี้กระทำนิติกรรมโอนทรัพย์สินเท่านั้น ส่วนการที่พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 113 บัญญัติให้ผู้ร้องร้องขอต่อศาลได้เป็นเรื่องกฎหมายล้มละลายให้อำนาจแก่ผู้ร้องในอันที่จะกระทำแทนเจ้าหนี้ได้เป็นกรณีพิเศษ โดยทำเป็นคำร้องต่อศาลในคดีล้มละลายไม่ต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่เท่านั้น ฉะนั้นอายุความที่จะใช้บังคับย่อมต้องถือเอาอายุความของเจ้าหนี้ผู้เกี่ยวข้องในขณะที่อาจจะบังคับตามสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้นั้นจริง ๆ เป็นเกณฑ์พิจารณา จะถือเอาวันที่ผู้ร้องได้รู้ถึงต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนเป็นหลักในการเริ่มต้นนับอายุความไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ซึ่งร้องขอให้ผู้ร้องร้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลที่ดินพิพาทได้รู้หรือควรจะรู้เหตุแห่งการเพิกถอนเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2527ซึ่งนับถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2531 เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี แล้ว คำร้องของผู้ร้องจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 และพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 113 ที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษา มา นั้น ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share