คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4536/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายอายุ 13 ปี ถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดปลายแหลมจี้คอและข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง ในที่เกิดเหตุมืดแม้ผู้เสียหายไม่เห็นหน้าคนร้าย แต่จำเสียงได้ว่าเป็นเสียงของจำเลยผู้เสียหายและจำเลยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันโดยผู้เสียหายเป็นบุตรแม่เลี้ยงจำเลย ส่วนจำเลยเป็นบุตรพ่อเลี้ยงผู้เสียหายแม้จำเลยจะเบิกความว่าไม่ค่อย ได้พูดกับผู้เสียหาย ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีเรื่องโกรธเคืองจำเลยจึงไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าจะแกล้งกล่าวหา การที่ มารดา ผู้เสียหายซึ่งเป็นพยานโจทก์เบิกความว่าคืนเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้บอกว่าใครทำ อาจเป็นการช่วยเหลือจำเลยเพราะพยานเป็นมารดาเลี้ยงจำเลยและอาศัยอยู่กับบิดาของจำเลย ย่อมจะต้องมีความเกรงใจบิดาจำเลยเป็นธรรมดา การที่ผู้เสียหายไปแจ้งความช้า ก็เพราะเห็นว่าพึ่งพามารดาไม่ได้เสียแล้ว จึงต้องไปหา ว.น้าชาย ให้ช่วย พาไปแจ้งความ ไม่ปรากฏว่า ว. เคยโกรธเคืองกับจำเลยด้วยสาเหตุอะไร ส่วนกางเกงขายาวของจำเลยที่ทิ้งอยู่ในห้องผู้เสียหายแม้มารดาผู้เสียหายจะเบิกความว่าไม่เคยเห็น ก็หาเป็นพิรุธทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักน้อยลงไม่ พยานหลักฐานโจทก์มีเหตุผลมั่นคงบ่งชี้ได้ชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นคนร้าย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 3 จำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าผู้เสียหายอายุ 13 ปี ถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดปลายแหลมจี้ที่คอและข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง ปัญหามีว่า จำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า วันเวลาเกิดเหตุผู้เสียหายนอนหลับ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะมีคนร้ายใช้มีดจี้คอและขู่ว่าไม่ให้ส่งเสียงร้อง ถ้าร้องจะแทง และขณะที่ถูกข่มขืนกระทำชำเราอยู่นั้น ผู้เสียหายร้องเรียกแม่ คนร้ายบอกให้ร้องเบา ๆ ผู้เสียหายจำเสียงนั้นได้ว่าเป็นเสียงของจำเลย เมื่อจำเลยหลบหนีออกไปจำเลยทิ้งกางเกงขายาวไว้ ผู้เสียหายเก็บกางเกงนั้นไว้ แต่บิดาเลี้ยงได้เอาไปให้นายแก้วนำไปคืนจำเลย คืนนั้นผู้เสียหายบอกมาราดว่าจำเลยเป็นผู้ข่มขืน ส่วนนางบุญมารดาผู้เสียหายเบิกความว่า ได้ยินเสียงผู้เสียหายเรียก รีบเข้าไปในห้องของผู้เสียหายฉายไฟดูเห็นผู้เสียหายนอนสวมกางเกงขาสั้นอยู่ตามปกติไม่มีพิรุธอย่างไร คืนนั้นผู้เสียหายไม่ได้บอกว่านายหวันเป็นคนทำเพิ่งมาบอกหลังเกิดเหตุได้ 2 วัน พยานไม่เคยเห็นกางเกงขายาวของจำเลย และผู้เสียหายไม่เคยเล่าให้ฟังว่าจำเลยถอดกางเกงทิ้งไว้เห็นว่า ในที่เกิดเหตุมือ แม้ผู้เสียหายไม่เห็นหน้าคนร้าย แต่จำเสียงได้ว่าเป็นเสียงของจำเลย เสียงที่ผู้เสียหายได้ยินนั้นเป็นเสียงแหบ ๆ และเป็นเสียกระซิบใกล้ตัว ผู้เสียหายและจำเลยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันโดยผู้เสียหายเป็นบุตรแม่เลี้ยงจำเลยส่วนจำเลยเป็นบุตรพ่อเลี้ยงผู้เสียหาย แม้จำเลยจะเบิกความว่าไม่ค่อยได้พูดกับผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายก็มีโอกาสได้ยินเสียงจำเลย เพราะได้ความว่าจำเลยมาที่บ้านบิดาเสมอ ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีเรื่องโกรธเคืองจำเลย จึงไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าจะแกล้งกล่าวหาโดยปราศจากความจริง เชื่อได้ว่าผู้เสียหายจำเสียงจำเลยได้ การที่นางบุญพยานโจทก์เบิกความว่า คืนเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้บอกว่าใครทำอาจเป็นการช่วยเหลือจำเลย เพราะถึงอย่างไรพยานก็เป็นมารดาเลี้ยงของจำเลยและอาศัยอยู่กับบิดาของจำเลยย่อมจะต้องมีความเกรงใจบิดาจำเลยเป็นธรรมดา การที่ผู้เสียหายไปแจ้งความช้าก็เพราะเห็นว่าพึ่งมารดาไม่ได้เสียแล้ว จึงต้องไปหานายวัตรน้าชายให้ช่วยพาไปแจ้งความ ที่ศาลอุทธรณ์ตำหนิว่านายวัตรเคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนนั้น ก็ไม่ปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยว่ามีสาเหตุอะไรกัน ส่วนเรื่องกางเกงขายาวนั้น แม้นางบุญจะเบิกความบ่ายเบี่ยงว่าไม่เคยเห็น ก็หาเป็นข้อพิรุธทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักน้อยลงไม่พยานหลักฐานโจทก์มีเหตุผลมั่นคงบ่งชี้ได้แจ้งชัดว่าจำเลยเป็นคนร้าย พยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยไม่อาจหักล้างได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share