คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2218/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 แม้เป็นคำซัดทอดก็รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ให้มีน้ำหนักได้ แต่ถ้าคำซัดทอดนั้นกระทำเพื่อให้ผู้ซัดทอดพ้นผิดหรือได้รับประโยชน์ คำซัดทอดนั้นย่อมไม่มีน้ำหนัก เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1ได้รับประโยชน์จากการซัดทอดถึงจำเลยที่ 2 ทั้งมีเหตุผลอยู่ในตัวว่าหากจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกระทำผิดก็ไม่น่าจะเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ให้การพาดพิงถึงจนกระทั่งเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนการให้จำเลยที่ 1 นัดหมายให้จำเลยที่2 ออกจากบ้านมาเพื่อพบตนและถูกจัดได้ แสดงให้เห็นว่าคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่พาดพิงถึงจำเลยที่ 2 มีความจริง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ได้ใช้จ้างวานให้จำเลยที่ 1 เอาลูกระเบิดไปขว้างทำลายทรัพย์และโรงเรือนที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายเพื่อขู่เข็ญให้เกิดความกลัวและกรรมโชกข่มขืนใจให้ผู้เสียหายยอมให้เงินแก่จำเลย จำเลยที่ 1 ได้กระทำตามที่จำเลยที่ 2 ใช้จ้างวาน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84, 91,217, 218, 222, 337, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4,7, 8 ทวิ 38, 55, 72, 72 ทวิ 74, 78 และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 222, 218 จำคุกคนละ 15 ปี ผิดตามมาตรา 337วรรคสอง จำคุกคนละ 4 ปี จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ 55, 72, 72 ทวิ วรรคสอง และ 78ฐานมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนจำคุก 2 ปี ฐานมีวัตถุระเบิดเครื่องกระสุนปืน จำคุก 2 กระทง กระทงละ 2 ปีฐานพาอาวุธปืน จำคุก2 กระทง กระทงละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 27 ปี จำเลยที่ 2 มีกำหนด 19 ปี ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง และให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1ไว้ 13 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 ไว้ 12 ปี 8 เดือน ของกลางให้ริบ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 คือคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ.29 กับคำให้การรับสารภาพ ชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เอกสารหมาย จ.39 ซึ่งมีข้อความสอดคล้องกันนอกจากเอกสารดังกล่าวโจทก์มีพยานบุคคลคือนายสุรชัย ลีรุ่งเรืองผู้เสียหายกับร้อยตำรวจเอกสมบูรณ์พุทธพงษ์ พลตำรวจสมเกียรติ ผ่องเกต พันตำรวจเอกกระเษม บูรณะปัทมะและพันตำรวจโทสุระ จิเจริญ มาสืบเป็นใจความว่าผู้เสียหายกับจำเลยที่ 2 และนายสุรพงษ์พี่ชายจำเลยที่ 2 เคยเป็นหุ้นส่วนกันและจำเลยที่ 2 เคยทำงานที่บริษัทลีรุ่งเรือง จำกัด ด้วยต่อมาผู้เสียหายซื้อหุ้นจากจำเลยที่ 2 และนายสุรพงษ์จากนั้นทั้งจำเลยที่ 2 และนายสุรพงษ์ก็ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องกับกิจการของบริษัทลีรุ่งเรือง จำกัด อีกเป็นเวลาปีเศษแล้วจึงเกิดเหตุคดีนี้ หลังจากมีเหตุขว้างระเบิดแล้วจำเลยที่ 1พูดโทรศัพท์ขู่เรียกเอาเงินจากผู้เสียหายจำนวน 3,000,000 บาทหลายครั้งในเวลาหลายวัน เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนดักจับจำเลยที่1 ขณะจำเลยที่ 1 ใช้เครื่องโทรศัพท์จากตู้สาธารณะปากซอยลาดพร้าว 136 พูดขู่เอาเงินผู้เสียหายจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 วางแผนการขว้างระเบิดและขู่เอาเงินจากผู้เสียหาย จากนั้นได้นำจำเลยที่ 1 ไปสอบสวนที่ห้องพักในโรงแรมปิปอิน แล้วเจ้าพนักงานตำรวจได้วางแผนจับจำเลยที่ 2โดยให้จำเลยที่ 1 พูดโทรศัพท์ติดต่อกับจำเลยที่ 2 เป็นใจความว่า ผู้เสียหายรวบรวมเงินได้ 2,100,000 บาทแล้ว จำเลยที่ 1ต้องการเงินค่าใช้จ่ายอีก ให้จำเลยที่ 2 นำเงินมาให้ที่ร้านอาหารบัวบานในเวลาระหว่าง 20 ถึง 20.30 นาฬิกา วันนั้นเจ้าพนักงานตำรวจได้บันทึกเสียงพูดโต้ตอบกันระหว่างจำเลยทั้งสองไว้ในแถบบันทึกเสียงหมาย จ.1 และวางกำลังคอยดักจับจำเลยที่ 2 เมื่อเดินทางไปถึงบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านทิพวัลย์เจ้าพนักงานตำรวจกับพวกเห็นจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ลักษณะเดียวกับที่สืบทราบมาออกจากปากทางเข้าหมู่บ้านดังกล่าวไปแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มแห่งหนึ่งใกล้ร้านอาหารบัวบานเจ้าพนักงานตำรวจจึงตามไปจับจำเลยที่ 2 ได้ นำตัวไปสอบสวนที่ห้องพักโรงแรมปิปอินและบันทึกไว้ ครั้งแรกจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพแต่ไม่ยอมให้การโดยละเอียดและไม่ยอมลงชื่อ จากนั้นได้นำตัวจำเลยทั้งสองไปควบคุมที่สาถานีตำรวจวันที่ 7 เดือนเดียวกันได้ให้จำเลยที่ 1 ชี้ตัวจำเลยที่ 2 บันทึกไว้ตามเอกสารหมาย จ.34 และถ่ายภาพไว้ตามภาพถ่ายหมาย จ.24พนักกานสอบสวนได้สอบสวนจำเลยที่ 2 เพิ่มเติม จำเลยที่ 2จึงยอมให้การโดยละเอียดและชี้ที่เกิดเหตุให้ถ่ายภาพไว้ตามภาพถ่ายหมาย จ.35 จ.36 จ.37 ทั้งพนักงานสอบสวนได้ทำบันทึกการชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพไว้ตามเอกสารหมาย จ.38พิเคราะห์พยานเอกสาร พยานบุคคล และแถบบันทึกเสียงหมาย จ.1ประกอบกันแล้ว เห็นว่าพยานโจทก์ดังกล่าวรับฟังได้สอดคล้องต้องกันมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดดังฟ้องโจทก์และฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนตามความสัตย์จริงโดยสมัครใจ ใช้ยันจำเลยที่ 2ในชั้นพิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา134, 226 ส่วนคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.29 แม้เป็นคำซัดทอดก็รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ให้มีน้ำหนักได้ เหตุผลสำคัญที่อาจทำให้คำซัดทอดไม่มีน้ำหนักน่าจะเนื่องจากคำซัดทอดนั้นกระทำเพื่อให้ผู้ซัดทอดพ้นผิดหรือได้รับประโยชน์ แต่คดีนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์จากการซัดทอดถึงจำเลยที่ 2แต่ประการใด ทั้งมีเหตุผลอยู่ในตัวว่า หากจำเลยที่ 2มิได้ร่วมกระทำผิดก็ไม่น่าจะเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ให้การพาดพิงถึงจนกระทั่งเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนการให้จำเลยที่ 1 นัดหมายให้จำเลยที่ 2 ออกจากบ้านมาเพื่อพบตนและถูกจับได้ ทั้งการที่เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ก็ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจกระทำไปเพราะมีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยที่ 2 หรือสงสัยมาก่อนว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดคดีนี้ แต่เป็นการวางแผนจับกุมขึ้นเนื่องจากได้ทราบถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 จากคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เมื่อจับจำเลยที่ 2ได้ตามแผนการดังกล่าวก็แสดงให้เห็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เมื่อจับจำเลยที่ 2 ได้ตามแผนการดังกล่าวก็แสดงให้เห็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่พาดพิงถึงจำเลยที่ 2 มีความจริง นอกจากพยานโจทก์ดังได้กล่าวมาแล้ว โจทก์ได้ส่งบันทึกเอกสารหมาย จ.43 ประกอบการซักค้านจำเลยที่ 1 ขณะเบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 2 ซึ่งเอกสารดังกล่าวจำเลยที่ 1 รับว่าได้บันทึกด้วยลายมือของตนเอง มีใจความว่าจำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ทำการวางระเบิดขู่เข็ญให้ผู้เสียหายส่งเงินให้ 3,000,000 บาท นอกจากเป็นพยานหลักฐานที่ทำลายน้ำหนักคำเบิกความของจำเลยที่ 1ที่เบิกความว่าจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกระทำผิดแล้ว กลับสนับสนุนพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นให้มีน้ำหนักอันควรแก่การรับฟังยิ่งขึ้นส่วนที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่า เจ้าพนักงานตำรวจจัดทำแถบบันทึกเสียงหมาย จ.1 ขึ้นเองนั้น จำเลยที่ 2 ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ สนับสนุนข้ออ้างดังกล่าวทั้งไม่มีเหตุผลใดๆ อันชวนให้น่าคิดว่าเจ้าพนักงานตำรวจทำแถบบันทึกเสียงดังกล่าวขึ้นปรักปรำจำเลยที่ 2 และหากเจ้าพนักงานตำรวจทำแถบบันทึกเสียงดังกล่าวขึ้จริงก็น่าจะทำโดยให้มีข้อความว่า จำเลยทั้งสองนัดพบกันที่ปั๊มน้ำมันซึ่งย่อมจะสิดคล้องกับข้อเท็จจรงที่เกิดขึ้นก่อนยิ่งกว่าการนัดพบกันที่ร้านอาหารบัวบานเป็นแน่ พยานจำเลยที่ 2 จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ เชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 222, 218 ลงโทษจำคุก 15 ปี และมีความผิดตามมาตรา 337 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 4 ปี รวมสองกระทงเป็นจำคุก 19 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 12 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share