แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าเมื่อประมาณเดือนมกราคม2528จำเลยได้เช่าบ้านพิพาทจากโจทก์มีกำหนด3ปีโดยมิได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือกันไว้ก็ตามแต่ตามเนื้อหาแห่งคำฟ้องโจทก์มิได้ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอาศัยสิทธิแห่งสัญญาเช่าหากแต่เป็นการฟ้องเพื่อใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336เท่านั้นส่วนที่บรรยายถึงเรื่องที่จำเลยได้เช่าบ้านพิพาทจากโจทก์ก็เป็นเรื่องที่โจทก์เพียงแต่ท้าวความให้เห็นว่าในเบื้องต้นจำเลยเข้าไปอยู่ในบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิแห่งสัญญาเช่าแต่หลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนด3ปีแล้วจำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในบ้านพิพาทอีกต่อไปการฟ้องคดีดังกล่าวมิได้ตกอยู่ในบังคับของมาตรา538ฉะนั้นแม้โจทก์จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยโจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 148/6 โจทก์ได้ให้จำเลยเช่าบ้านหลังดังกล่าวมีกำหนดเวลา 3 ปี โดยมิได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสืออัตราค่าเช่าเดือนละ 500 บาท ครบกำหนดโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าบ้านของโจทก์อีกต่อไป และบอกกล่าวจำเลยให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านของโจทก์หลายครั้งแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านหลังดังกล่าว และห้ามเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านของโจทก์
จำเลยให้การว่า บ้านเลขที่ 148/6 ถนนสุรศักดิ์ 1 ตำบลศรีราชาอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นบ้านของจำเลยโดยจำเลยซื้อมาจากผู้มีชื่อ จำเลยไม่เคยเช่าบ้านหลังดังกล่าวจากโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านพิพาทเลขที่ 148/6 ถนนสุรศักดิ์ ตำบลศรีราชา จังหวัดชลบุรีให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านของโจทก์
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิเกี่ยวกับการเช่าบ้านพิพาทซึ่งเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เมื่อโจทก์กล่าวในฟ้องยอมรับว่าไม่ได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือกันไว้ก็เท่ากับยอมรับว่าสัญญาเช่าบ้านพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยฝ่ายที่จะต้องรับผิดเป็นสำคัญนั้น เห็นว่าแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2528 จำเลยได้เช่าบ้านพิพาทจากโจทก์มีกำหนด 3 ปี โดยมิได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือกันไว้ก็ตาม แต่ตามเนื้อหาแห่งคำฟ้องโจทก์มิได้ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอาศัยสิทธิแห่งสัญญาเช่าหากแต่เป็นการฟ้องเพื่อใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 เท่านั้น สำหรับคำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายถึงเรื่องที่จำเลยได้เช่าบ้านพิพาทจากโจทก์เมื่อปี 2528 มีกำหนดเวลา 3 ปี ก็เป็นเรื่องที่โจทก์เพียงแต่บรรยายฟ้องท้าวความให้เห็นว่าในเบื้องต้นจำเลยเข้าไปอยู่ในบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิแห่งสัญญาเช่าซึ่งเป็นสิทธิโดยชอบ แต่หลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลง คือเมื่อครบกำหนด 3 ปีแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในบ้านพิพาทของโจทก์อีกต่อไป โจทก์จึงมีสิทธิติดตามและเอาคืนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือครอบครอง การฟ้องคดีดังกล่าวมิได้ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 538 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่จำเลยฎีกา ฉะนั้นแม้โจทก์จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน