คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4529/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 12 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวน 2 เม็ด ให้แก่สายลับของเจ้าพนักงานตำรวจที่ไปล่อซื้อ เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นตัวจำเลยที่ 2 พบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ดอยู่ในกระเป๋าด้านหน้าข้างขวาที่จำเลยที่ 2 สวมใส่อยู่เมื่อจำเลยที่ 2ยืนอยู่กับจำเลยที่ 1 ในขณะที่จำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ ทั้งในตัวของจำเลยที่ 2 ยังมีเมทแอมเฟตามีนถึง 10 เม็ดเช่นนี้พฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนรู้เห็นกับจำเลยที่ 1ในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 241 วรรคสอง บัญญัติแต่เพียงว่า ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบสวนปากคำตนได้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องสอบถามผู้ต้องหาก่อนเริ่มการสอบสวน แม้หากพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนจำเลยโดยไม่ได้ถามจำเลยในเรื่องดังกล่าวก่อนก็ตาม ก็ไม่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2541 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 12 เม็ด น้ำหนักรวม 1.10 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำเลยทั้งสองจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวน 2 เม็ดน้ำหนักไม่ปรากฏชัดให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 200 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยธนบัตรฉบับละ 100 บาท จำนวน 2 ฉบับ รวมเป็นเงิน 200 บาทเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด และได้เมทแอมเฟตามีนจากสายลับผู้ล่อซื้ออีกจำนวน 2 เม็ด เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษ ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 5 ปี ฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1จำคุกคนละ 5 ปี รวม 2 กระทง จำคุกคนละ 10 ปี ลดโทษจำเลยที่ 1หนึ่งในสาม และจำเลยที่ 2 หนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี8 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 7 ปี 6 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 12 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวน 2 เม็ดให้แก่สายลับของเจ้าพนักงานตำรวจที่ไปล่อซื้อในราคา 200 บาท ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมจำเลยทั้งสองพร้อมทั้งแจ้งข้อหาว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า จำเลยที่ 2ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นตัวจำเลยที่ 2 พบเมทแอมเฟตามีนจำนวน10 เม็ด อยู่ในกระเป๋าด้านหน้าข้างขวาที่จำเลยที่ 2 สวมใส่อยู่ เมื่อจำเลยที่ 2 ยืนอยู่กับจำเลยที่ 1 ในขณะที่จำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ ทั้งในตัวของจำเลยที่ 2 ยังมีเมทแอมเฟตามีนถึง 10 เม็ด เช่นนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าจำเลยที่ 2มีส่วนรู้เห็นกับจำเลยที่ 1 ในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง

ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 241 วรรคสองบัญญัติว่า ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบสวนปากคำตนได้ แต่ปรากฏว่าการสอบปากคำของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2541ซึ่งมีร้อยตำรวจโทบุญรอด ชื่นจิตต์ เป็นพนักงานสอบสวน และการสอบปากคำเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2541 ซึ่งมีพันตำรวจโทนิยม ฤกษ์นิยม เป็นพนักงานสอบสวนนั้น ร้อยตำรวจโทบุญรอดและพันตำรวจโทนิพนธ์มิได้แจ้งสิทธิดังกล่าวให้จำเลยที่ 2ทราบว่าต้องการให้ทนายหรือผู้ซึ่งจำเลยที่ 2 ไว้วางใจเข้าร่วมการสอบปากคำหรือไม่ การสอบปากคำตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ป.จ.3 และตามบันทึกคำให้การเพิ่มเติมเอกสารหมายจ.4 จึงขัดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตกเป็นโมฆะและการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 241 วรรคสองบัญญัติแต่เพียงว่าผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบสวนปากคำตนได้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องสอบถามผู้ต้องหาก่อนเริ่มการสอบสวนดังนั้น แม้หากพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนจำเลยที่ 2โดยไม่ได้ถามจำเลยที่ 2 ในเรื่องดังกล่าวก่อนดังที่จำเลยที่ 2อ้างก็ตาม ก็ไม่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตรา 241 วรรคสอง การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

พิพากษายืน

Share