แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทางจำเป็นเกิดขึ้นโดยอำนาจของกฎหมายและเป็นทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ต้องจดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทางจำเป็นจึงเป็นสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินและสามารถใช้ยันแก่บุคคลทั่วไป
ทางจำเป็นรายพิพาทเจ้าของเดิมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 มีสิทธิใช้ผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะได้ และโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5853 ซึ่งล้อมอยู่ได้รับเงินค่าใช้ทางจำเป็นจากเจ้าของที่ดินที่ใช้ทางจำเป็นไปแล้วโดยโจทก์ตกลงจะไม่เรียกร้องค่าใช้ทางจำเป็นจากเจ้าของที่ดินเดิมหรือจากผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านซึ่งปลูกในที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 อีกตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว กรณีเช่นนี้จำเลยผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 ย่อมได้มาซึ่งทรัพยสิทธิทางจำเป็น จึงรับโอนทั้งสิทธิและหน้าที่จากเจ้าของที่ดินเดิม แม้จำเลยในคดีนี้ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่เมื่อจำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 มาจากจำเลยในคดีเดิม จำเลยจึงมิใช่บุคคลภายนอก โจทก์และจำเลยจึงต้องผูกพันโดยคำพิพากษาในคดีก่อนด้วยกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าใช้ทางจำเป็นจากจำเลยอีก
ข้อบังคับของอาคารชุดโจทก์ระบุให้เจ้าของบ้านและบริวารหรือผู้มีสิทธิอยู่อาศัยในบ้านซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 มีสิทธิใช้ทางเข้าออกซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางร่วมกับเจ้าของรวม แต่ต้องเฉลี่ยค่าใช้จ่ายและค่าบำรุงรักษาในการใช้ประโยชน์ในทรัพย์ส่วนกลางดังกล่าวด้วย แม้จำเลยเป็นเจ้าของบ้านพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 แต่จำเลยเป็นบุคคลภายนอก มิใช่เจ้าของรวมในอาคารชุดโจทก์ ทั้งการใช้ทางจำเป็นของจำเลยก็เป็นไปโดยอำนาจของกฎหมาย จำเลยจึงไม่ต้องผูกพันปฏิบัติตามข้อบังคับดังกล่าวข้างต้นของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5853 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 และเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 30/1 ซึ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยรับโอนกรรมสิทธิ์จากเจ้าของเดิม เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2533 จำเลยที่ 2 เป็นสามีของจำเลยที่ 1 ที่ดินของโจทก์ดังกล่าวเป็นทางจำเป็นเพื่อให้จำเลยที่ 1 และบริวารผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ ซึ่งตามข้อบังคับของโจทก์ จำเลยที่ 1 และบริวารจะต้องชำระค่าใช้จ่ายและค่าบำรุงรักษาในการใช้ทางจำเป็นและทรัพย์ส่วนกลางอื่น ๆ ของโจทก์เสมือนเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งของโจทก์ โดยโจทก์คิดจากจำนวนรถยนต์ในอัตราคันละ2,000 บาท ตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับเจ้าของเดิม เป็นเงินเดือนละ 4,000 บาทนับแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2533 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 49 เดือน เป็นเงิน 216,000 บาทโจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระเงินดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 216,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์เดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะเลิกใช้ทางจำเป็น
จำเลยทั้งสองให้การว่า ภายหลังโจทก์ปิดกั้นทางพิพาทบริษัทอาร์ท เดโค จำกัดได้ฟ้องโจทก์ขอให้เปิดทางพิพาท ศาลมีคำพิพากษาให้เปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นห้ามโจทก์ปิดกั้นตลอดไปตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1072/2529 ของศาลแพ่ง โจทก์จึงฟ้องบริษัทอาร์ท เดโค จำกัด เรียกค่าทดแทนในการใช้สิทธิผ่านที่ดินของโจทก์ แล้วตกลงประนีประนอมยอมความกันโดยบริษัทอาร์ท เดโค จำกัด ยอมชำระเงินค่าใช้ทางพิพาท (ทางจำเป็น) แก่โจทก์เป็นเงิน 150,000 บาท และโจทก์ตกลงว่าจะไม่เรียกร้องค่าใช้ทางจำเป็นจากผู้อยู่อาศัยในบ้านเลขที่ 30/1 ซึ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 ต่อมาบริษัทอาร์ท เดโค จำกัด ได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 พร้อมบ้านเลขที่ 30/1 ให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2533 จำเลยที่ 1 จึงรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่จากบริษัทอาร์ท เดโค จำกัด เจ้าของเดิม มูลหนี้เกี่ยวกับค่าใช้ทางที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้รับชำระจากบริษัทอาร์ท เดโค จำกัด ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ทั้งโจทก์ตกลงว่าจะไม่เรียกร้องค่าใช้ทางจากผู้อยู่อาศัยในบ้านเลขที่ 30/1โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าใช้ทางจำเป็นจากจำเลยทั้งสองอีก จำเลยทั้งสองมิใช่เจ้าของร่วมในนิติบุคคลอาคารชุดย่อมไม่สามารถนำข้อบังคับของโจทก์มาใช้แก่จำเลยทั้งสองได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.10 เป็นการใช้ค่าทดแทนการใช้ทางในคราวเดียวโดยไม่ต้องเสียค่าใช้ทางอีก และจำเลยทั้งสองได้แสดงเจตนาที่จะถือเอาประโยชน์ตามสัญญาดังกล่าวซึ่งทำขึ้นเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าใช้ทางจำเป็นอีก พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.10 มีผลผูกพันคู่ความ เมื่อจำเลยที่ 1 รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 ย่อมรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์อีก พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 เป็นของบริษัทอาร์ท เดโค จำกัด ต่อมาบริษัทอาร์ท เดโค จำกัด ได้ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยขอให้โจทก์เปิดทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 5853 เป็นทางจำเป็น ศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์เปิดทางพิพาทในที่ดินดังกล่าวกว้าง 6.50 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินเป็นทางจำเป็น ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11072/2529 ของศาลแพ่ง คดีถึงที่สุด จากนั้นโจทก์ฟ้องบริษัทอาร์ท เดโค จำกัด เป็นจำเลยเรียกค่าใช้ทางจำเป็น แล้วตกลงประนีประนอมยอมความกันโดยบริษัทอาร์ท เดโค จำกัด ยอมชำระเงินค่าใช้ทางพิพาท (ทางจำเป็น) ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 150,000 บาท และยอมชำระค่าซ่อมทางดังกล่าวเป็นจำนวนหนึ่งในเจ็ดของค่าซ่อมทางแต่ละครั้ง ทั้งโจทก์จะไม่เรียกร้องค่าใช้ทางจำเป็นจากบริษัทอาร์ท เดโค จำกัด หรือผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านเลขที่ 30/1 ซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5854อีกตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.10 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 25136/2529 ของศาลแพ่ง ต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2533 จำเลยที่ 1 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 พร้อมบ้านเลขที่ 30/1 จากบริษัทอาร์ท เดโค จำกัด แต่ไม่ยอมชำระค่าใช้ทางพิพาทให้แก่โจทก์ นอกจากนี้คดีรับฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์โดยคู่ความมิได้โต้แย้งคัดค้านว่า บริษัทอาร์ท เดโค จำกัด เจ้าของเดิมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 ได้ชำระค่าใช้ทางจำเป็นรายนี้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.10 แล้ว
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เป็นลำดับแรกว่า สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 25136/2529 ของศาลแพ่ง ไม่มีผลผูกพันจำเลยทั้งสองซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีข้างต้นดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าใช้ทางพิพาทตามที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นอยู่ก่อนแล้ว เห็นว่า ทางจำเป็นเกิดขึ้นโดยอำนาจของกฎหมายและเป็นทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ต้องจดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินและสามารถใช้ยันแก่บุคคลทั่วไป เมื่อปรากฏว่าทางจำเป็นรายนี้เจ้าของเดิมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5854มีสิทธิใช้ผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะได้ และโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5853 ซึ่งล้อมอยู่ได้รับเงินค่าใช้ทางจำเป็นเป็นเงิน 150,000 บาท และโจทก์จะไม่เรียกร้องค่าใช้ทางจำเป็นจากจำเลย (เจ้าของที่ดินเดิม) หรือผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านเลขที่ 30/1 ซึ่งปลูกในที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมอันเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา 1349 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กรณีเช่นนี้จำเลยที่ 1 ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 ย่อมได้มาซึ่งทรัพยสิทธิทางจำเป็น จึงต้องรับโอนทั้งสิทธิและหน้าที่จากเจ้าของที่ดินเดิม แม้จำเลยทั้งสองในคดีนี้ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่จำเลยที่ 1 ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 มาจากจำเลยในคดีเดิมจึงไม่ถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลภายนอกอันมีผลถึงจำเลยที่ 2 สามีจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนั้น โจทก์และจำเลยทั้งสองในคดีนี้ต้องผูกพันโดยคำพิพากษาในคดีก่อนด้วยกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าใช้ทางจำเป็นจากจำเลย
ปัญหาต่อไปมีว่า ข้อบังคับของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 ใช้บังคับแก่จำเลยทั้งสองได้หรือไม่ เห็นว่า แม้ความในข้อ 28 ถึง 30 แห่งข้อบังคับดังกล่าวจะระบุให้เจ้าของบ้านและบริวารหรือผู้มีสิทธิอยู่อาศัยในบ้านเลขที่ 30/1 ซอยร่วมฤดี ซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 มีสิทธิใช้ทางเข้าออกซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางร่วมกับเจ้าของรวมแต่ต้องเฉลี่ยค่าใช้จ่ายและค่าบำรุงรักษาในการใช้ประโยชน์ในทรัพย์ส่วนกลางดังกล่าวในอัตราส่วนไม่เกินหนึ่งในเจ็ดของค่าใช้จ่ายทั้งหมด และจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 30/1 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 5854 ก็ตาม แต่จำเลยทั้งสองก็เป็นบุคคลภายนอกมิใช่เจ้าของรวมในอาคารชุดโจทก์ ทั้งการใช้ทางจำเป็นของจำเลยทั้งสองก็เป็นไปโดยอำนาจของกฎหมายกรณีไม่ทำให้จำเลยทั้งสองต้องผูกพันปฏิบัติตามข้อบังคับของโจทก์
พิพากษายืน