แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่ทายาทจะขอรับมรดกของเจ้ามรดกนั้น จะต้องมีคำยินยอมของทายาททุกคนมาแสดง โจทก์กระทำฝ่าฝืนระเบียบแบบแผนของทางราชการจนเป็นเหตุให้มีชื่อ โจทก์ ในโฉนด แต่ผู้เดียว จึงเป็นเรื่องที่โจทก์มีชื่อ ในทะเบียนสิทธิโดยไม่ชอบ ต้องถือว่าที่ดินตามโฉนด ดังกล่าวยังเป็นมรดกของ ล. ผู้ตายอยู่ โดยโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ครอบครองร่วมกันมา จำเลยจึงมีสิทธิในฐานะเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินด้วย ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่ว่า โจทก์ประสงค์จะให้จำเลยออกจากที่ดินภายในกำหนดที่ตกลงกันโดยโจทก์จะยินยอมจ่ายเงินค่ารื้อถอนให้ 12,000 บาท ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงข้อเสนอของโจทก์ ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมระงับข้อพิพาทใด ๆ ระหว่างโจทก์จำเลย ทั้งยังไม่เป็นการแสดงเจตนาของจำเลยว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาจะครอบครองที่ดินมรดกอย่างเป็นเจ้าของ ดังนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านและยุ้งข้าวออกไปจากที่พิพาทได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 254 ตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 9 ไร่ 2 งาน 16 ตารางวาขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านและยุ้งข้าวออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ200 บาท นับแต่เดือนที่ฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านและยุ้งข้าวออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์จำเลยมีสิทธิได้รับมรดก ที่ดินโฉนดเลขที่ 254 เป็นทรัพย์มรดก จำเลยไม่เคยตกลงกับโจทก์ว่าจะรื้อถอนบ้านและยุ้งข้าวออกไปจากที่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านและยุ้งข้าวของจำเลยออกไปจากที่พิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 200 บาท ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2523 จนกว่าจะออกไปจากที่พิพาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท ให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่า นายลี้ และนางชุ่ม บิดามารดาโจทก์จำเลยมีบุตรด้วยกัน4 คน คือ จำเลย นายจรูญ นายจำลอง โจทก์ และนายลี้มีบุตรกับนางบ่ายอีก 1 คน คือนางนิตย์ ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ 254ตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ที่ดินแปลงนี้เป็นของนายลี้และนายฉ่าง ต่างครอบครองกันเป็นส่วนสัด ส่วนของนายลี้อยู่ด้านใต้ ส่วนของนายฉ่างอยู่ด้านเหนือ นายลี้ตายไปประมาณ 20 ปี ส่วนนางชุ่มตายเมื่อ 10 ปีมานี้ หลังจากนายลี้และนายฉ่างตาย ในปี 2504โจทก์กับนายเฮ็งและนายนิด ตุ๋นเจริญ บุตรนายฉ่าง ได้ไปขอรับมรดกและใส่ชื่อในโฉนดที่ 254 ร่วมกันต่อมาในปี 2523 โจทก์จึงได้ขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนของโจทก์ คงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะตามฎีกาของโจทก์ว่า หลังจากที่นายลี้บิดาโจทก์จำเลยตายแล้ว นางชุ่มมารดาโจทก์จำเลยได้จัดแบ่งที่ดินให้บุตรทุกคนโดยทั่วกัน โดยเฉพาะจำเลยได้ทั้งที่ดินปลูกบ้านและที่ดินทำนาไปแล้ว ความข้อนี้โจทก์เบิกความว่า ได้แบ่งที่ดินมรดกกันเมื่อก่อนแม่ตาย 1 ปี แต่นายจำลองปราดเปรื่อง พยานโจทก์ ซึ่งเป็นน้องชายของจำเลยและพี่ชายของโจทก์เบิกความว่า แบ่งกันเมื่อพ่อแม่ตายแล้ว โจทก์เบิกความว่าจำเลยได้ที่ดินปลูกบ้านแปลงเนื้อที่ 6 ไร่เศษ ไป 2 ไร่ ได้ที่นาแปลง 30 ไร่เศษ ไป 30 กว่าไร่ นายจรูญ ได้ที่นาแปลง 30 ไร่เศษที่เหลือจากจำเลยได้ไป และได้ที่ปลูกบ้านแปลงเนื้อที่ 6 ไร่เศษไป 2 ไร่ นายจำลองได้ที่ปลูกบ้านแปลงเนื้อที่ 6 ไร่เศษไป 2 ไร่ และได้ที่นาแปลง 25ไร่ไปทั้งแปลง ส่วนโจทก์ได้ที่แปลงพิพาทและที่นาอีก 10 ไร่ แต่นายจำลองเบิกความว่า จำเลยได้ที่นา 30 ไร่เศษ ที่ปลูกบ้าน 1 ไร่เศษที่นา 7 ไร่เศษ นายจำลองได้ที่ปลูกบ้าน 1 ไร่เศษ ที่นา 12 ไร่ โจทก์ได้ที่พิพาท 4 ไร่เศษและที่นา 10 ไร่ เป็นการแตกต่างกัน ทั้งนับตั้งแต่เวลาที่โจทก์อ้างว่าได้แบ่งที่ดินมรดกกันแล้ว จำเลยก็คงอยู่ในที่พิพาทต่อมาเป็นเวลานานเกือบ 20 ปี โดยโจทก์มิได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแต่อย่างใด จนเมื่อ พ.ศ. 2522 จำเลยถอนต้นมะพร้าวที่โจทก์ปลูกไว้ทิ้ง โจทก์จึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน จำเลยรับว่าจะออกไปจากที่พิพาทโดยโจทก์ยินยอมจะให้ค่ารื้อถอนถึง 20,000 บาท แต่จำเลยก็ยังเกี่ยงจะเอาเป็นจำนวน 60,000 บาท มิใช่ลักษณะที่จำเลยเป็นผู้อาศัยโจทก์อยู่ในที่พิพาท ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าได้มีการแบ่งมรดกของนายลี้บิดาโจทก์จำเลยแล้วจริง แต่น่าเชื่อว่ามรดกของนายลี้บิดาโจทก์จำเลยยังไม่มีการแบ่งกันดังจำเลยนำสืบมาก่อน และเป็นเรื่องที่โจทก์ไปดำเนินการขอรับมรดกของนายลี้เอาเอง โดยบุตรคนอื่น ๆไม่ทราบ ดังจะเห็นได้จากคำขอรับมรดกของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.2 ซึ่งเป็นคำขอรับมรดกที่ดินโฉนดที่ 254 เฉพาะส่วนของนายลี้ โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองตลอดมา และระบุบัญชีเครือญาติท้ายคำขอดังกล่าวไวด้วยตามเอกสารหมาย ล.3 แต่ไม่ปรากฏว่า พี่น้องของโจทก์คนใดตามบัญชีเครือญาติได้ให้คำยินยอมให้โจทก์รับมรดกของบิดาแต่ผู้เดียว โจทก์คงได้แต่กล่าวอ้างลอย ๆ ว่าพี่น้องยินยอม ซึ่งการยินยอมของทายาทเช่นนี้ได้ความจากนายณรงค์ ศรีนพกุล เจ้าพนักงานที่ดิน พยานจำเลยว่า การที่ทายาทจะขอรับมรดกของเจ้ามรดกนั้น จะต้องมีคำยินยอมของทายาททุกคนมาแสดง การที่โจทก์กระทำการฝ่าฝืนระเบียบแบบแผนของทางราชการจนเป็นเหตุให้โจทก์มีชื่อในโฉนดที่ 254แต่ผู้เดียวในลักษณะเช่นนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์มีชื่อในทะเบียนสิทธิโดยไม่ชอบ ต้องถือว่าที่ดินตามโฉนดที่ 254 ยังเป็นมรดกของนายลี้เจ้ามรดก โดยโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ครอบครองร่วมกันมายังไม่ได้มีการแบ่งมรดกตลอดมา จนนางชุ่มมารดาโจทก์จำเลยตาย รวมทั้งระยะเวลาหลังจากนั้น ดังนั้นจำเลยจึงมีสิทธิในฐานะเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินนั้นด้วย โจทก์หาชอบที่จะกล่าวอ้างว่าจำเลยขออาศัยหรือโจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายครอบครองแทนจำเลยดังโจทก์ฎีกาไม่ ส่วนการที่โจทก์อ้างว่าเมื่อนายเฮ็ง นายนิด ขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินกับโจทก์จำเลยก็ไม่คัดค้านก็ดี รวมทั้งกรณีโจทก์ปลูกยุ้งข้าวในที่พิพาทจำเลยก็ไม่คัดค้านก็ดี เหตุเหล่านี้หาเป็นเหตุที่จะถือว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์รับมรดกเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียวไม่ ทั้งได้ความว่าจำเลยเป็นคนมีอายุถึง 60 ปีเศษ อ่านและเขียนหนังสือไม่ได้จำเลยอาจเห็นว่าเหตุการณ์เหล่านั้นไม่มีผลกระทบถึงการครอบครองมรดกร่วมของจำเลย ซึ่งได้ปลูกเรือนอยู่ในที่พิพาทมานานถึง 40-50 ปีแล้วก็ได้ จำเลยจึงไม่ได้คัดค้านการกระทำของโจทก์
โจทก์ฎีกาประการต่อมาว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทไม่ได้ฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ตกลงกันในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี เอกสารหมาย จ.2 แม้เอกสารดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้ครอบครองที่พิพาทอย่างเจ้าของ ข้อนี้เห็นว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีดังกล่าว เป็นเพียงข้อเสนอของโจทก์ที่ประสงค์จะให้จำเลย ออกจากที่ดินภายในกำหนดที่ตกลงกัน โดยโจทก์จะยินยอมจ่ายเงินค่ารื้อถอนให้ 12,000 บาท ข้อตกลงดังกล่าว นอกจากจะไม่มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมระงับข้อพิพาทใด ๆระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว ยังไม่เป็นการแสดงเจตนาของจำเลยว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาจะครอบครองที่ดินมรดกอย่างเจ้าของดังโจทก์ฎีกาแต่ประการใด ดังนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านและยุ้งข้าวออกไปจากที่พิพาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.