แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับพวกพาผู้เสียหายอายุ 14 ปี ไปจากบิดาและพัก ค้างคืนตามโรงแรมและในสถานที่ต่าง ๆ หลายคืนติดต่อกัน บางคืนจำเลยที่ 1 ก็พักห้องเดียวกับผู้เสียหายและได้กระทำชำเราผู้เสียหายด้วยนั้นถือได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดาเพื่อการอนาจาร แม้ผู้เสียหายจะเต็มใจไปด้วยก็ไม่พ้นผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองพรากเด็กหญิงชลธิราอายุ 14 ปีผู้เสียหายไปเสียจากนายชลอบิดา เพื่อการอนาจารโดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยและจำเลยที่ 1 ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย 1 ครั้ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 319, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้เสียหายสมัครใจไปเที่ยวกับจำเลยกับพวกและยอมให้จำเลยที่ 1 กระทำชำเรา ไม่เป็นความผิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยพรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารแต่จำเลยที่ 1 ไม่ผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 319
จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้เสียหายอายุ 14 ปี อยู่กับนายชลอบิดา วันที่ 20พฤษภาคม 2519 จำเลยทั้งสองและนายพีระพลซึ่งรู้จักผู้เสียหายมาก่อนพาผู้เสียหายไปดูหนัง หนังเลิกผู้เสียหายไม่ยอมกลับบ้าน จำเลยกับพวกและนายพีระพลจึงพาผู้เสียหายไปค้างที่โรงแรมหลายแห่งในสถานที่ต่าง ๆหลายคืนติดต่อกัน บางคืนจำเลยที่ 1 ก็นอนห้องเดียวกับผู้เสียหายและได้กระทำชำเราผู้เสียหายด้วย ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดาเพื่อการอนาจารแล้ว แม้ผู้เสียหายสมัครใจไปกับจำเลยก็เห็นได้ว่าผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์อายุยังไม่เกิน 18 ปี จำเลยที่ 1จึงหาพ้นผิดไม่
พิพากษายืน