คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3141/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีก่อนโจกท์ฟ้องทายาทของเจ้ามรดกว่า เจ้ามรดกขายที่ดิน น.ส. 3 ก. ให้แก่โจทก์ โดยมีการชำระราคาและเจ้ามรดกส่งมอบการครอบครองพร้อมส่งมอบ น.ส. 3 ก. ให้แก่โจทก์แล้ว แต่ยังไม่ทันโอนให้ถูกต้อง เจ้ามรดกถึงแก่กรรมเสียก่อน ขอให้ทายาทโอนแทน จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกขอเข้าเป็นจำเลยร่วม และต่อสู้คดีว่า คดีขาดอายุความมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 แล้ว คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษายกฟ้องฟังว่าคดีขาดอายุความตามที่จำเลยต่อสู้ โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ขอให้เพิกถอนชื่อเจ้ามรดกมาเป็นชื่อโจทก์แทน ประเด็นแห่งคดีทั้งสองจึงแตกต่างกัน โดยคดีก่อนมีประเด็นด้วยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความมรดกด้วยหรือไม่ ส่วนคดีนี้ไม่มีประเด็นดังกล่าว ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 3821 ตั้งอยู่หมู่ที่ 11 ตำบลคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา แต่ที่ดินแปลงนี้มีชื่อนายหมัดตะเหย็บ บิลหวันในทะเบียนการครอบครองเพราะโจทก์ได้รับมอบสิทธิครอบครองที่ดินแปลงนี้มาจากนายหมัดตะเหย็บผู้ครอบครองเดิมโดยนายหมัดตะเหย็บได้ขายที่ดินทั้งแปลงและส่งมอบการครอบครองแก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2522 โจทก์เข้าถือครองและทำนาตั้งแต่นั้นมาจนปัจจุบัน ส่วนนายหมัดตะเหย็บได้ถึงแก่กรรมไปโดยยังไม่ทันได้โอนทางทะเบียนให้แก่โจทก์ จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายหมัดตะเหย็บตามคำสั่งของศาลชั้นต้นคดีหมายเลขแดงที่ 314/2538 โจทก์เคยยื่นฟ้องนายไหลหมาน บิลหวัน ซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของนายหมัดตะเหย็บเป็นจำเลยและในคดีดังกล่าวจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายหมัดตะเหย็บร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 3821 ดังกล่าวแล้ว ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 620/2539 คดีหมายเลขแดงที่ 5649/2540 ของศาลชั้นต้น การที่โจทก์ได้รับมอบการครอบครองที่ดินแปลง น.ส.3 ก. เลขที่ 3821 ดังกล่าว โดยซื้อมาจากนายหมัดตะเหย็บโจทก์จึงเป็นผู้ได้สิทธิครอบครองที่ดินแปลงนี้ แต่ที่ดินแปลงนี้ยังคงปรากฏชื่อนายหมัดตะเหย็บในทะเบียนการครอบครองทำให้โจทก์เดือดร้อนเสียหายต่อสิทธิครอบครองที่ดิน เพราะไม่สามารถใช้สิทธิตามสัญญาซื้อขายได้ด้วยอายุความเพราะนายหมัดตะเหย็บถึงแก่กรรมตั้งแต่ปี 2523 แต่การซื้อขายระหว่างโจทก์กับนายหมัดตะเหย็บก็สมบูรณ์ด้วยการส่งมอบการครอบครอง การที่โจทก์ไม่สามารถมีชื่อในเอกสารสิทธิ น.ส. 3 ก. เลขที่ 3821 นั้น จำเลยในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของนายหมัดตะเหย็บจึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการขอถอนชื่อของนายหมัดตะเหย็บออกนอก น.ส. 3 ก. เลขที่ 3821 ดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินและใส่ชื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่แท้จริงในทะเบียนการครอบครองที่ดิน โจทก์ได้บอกกล่าวจำเลยให้ดำเนินการแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลง น.ส. 3 ก. เลขที่ 3821 ตำบลคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ให้จำเลยดำเนินการขอถอนชื่อนายหมัดตะเหย็บ ออกจาก น.ส. 3 ก. เลขที่ 3821 ดังกล่าว และใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแทน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 3821 ตำบลคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายหมัดตะเหย็บ ผู้ตาย เดิมโจทก์เคยฟ้องนายไหลหมาน บิลหวัน เป็นจำเลยขอให้โอนที่ดินพิพาทเป็นชื่อของโจทก์ จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5649/2540 ซึ่งถึงที่สุดแล้ว พิพากษายกฟ้องโดยอ้างว่า คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754
มีปัญหาต้องพิจารณาตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในคดีนี้ให้แก่จำเลยชอบแล้วเพียงใด อันจะเป็นเหตุให้จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่ เห็นว่า โจทก์แสดงได้ว่าจำเลยมีที่อยู่ตามทะเบียนบ้านและบัตรประชาชน ณ บ้านเลขที่ 18/97 หมู่ที่ 2 ตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตามที่โจทก์ได้ขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องเกี่ยวกับภูมิลำเนาของจำเลย ซึ่งเจ้าพนักงานศาลก็ได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งยังสถานที่ดังกล่าวแต่ไม่มีผู้รับโดยชอบ เจ้าพนักงานศาลจึงได้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ตามคำสั่งศาล เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลชั้นต้นไต่สวน จึงถือว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในคดีนี้ชอบแล้ว จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ปัญหาข้อต่อมาที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5649/2540 ของศาลชั้นต้นหรือไม่นั้น เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5649/2540 ของศาลชั้นต้นนั้น โจทก์ฟ้องว่าเจ้ามรดกขายที่ดินมือเปล่า (ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือ น.ส. 3 ก.) โดยมีการชำระราคาและส่งมอบการครอบครองกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก) ให้แล้ว แต่ยังไม่ทันโอนให้ถูกต้อง เจ้ามรดกก็ถึงแก่กรรมเสียก่อน ขอให้ทายาทโอนให้แทน จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกขอเข้าเป็นจำเลยร่วม แล้วต่อสู้คดีประการหลังว่าคดีขาดอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตาม 1754 ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าววินิจฉัยว่า แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความตามที่โจทก์อ้าง แต่คดีขาดอายุความมรดก จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกเป็นคดีใหม่ ขอให้เพิกถอนชื่อเจ้ามรดกในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) มาเป็นชื่อของโจทก์แทนประเด็นแห่งคดีที่วินิจฉัยจึงแตกต่างกัน โดยในคดีหมายเลขแดงที่ 5649/2540 มีประเด็นด้วยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องเรื่องมรดกหรือไม่ด้วย ส่วนคดีนี้ไม่มีประเด็นดังกล่าว ดังนั้น ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีจึงแตกต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ส่วนประเด็นข้อสุดท้ายที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5649/2540 ของศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทนั้นจะผูกพันข้อเท็จจริงในคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5649/2540 นั้น ได้วินิจฉัยไว้ถึงที่สุดแล้ว และคดีนี้โจทก์ก็ได้สืบพยานว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาโดยจำเลยไม่มีสิทธินำสืบต่อสู้คดี ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงมิได้เปลี่ยนแปลงจากคดีเดิม ศาลจึงสามารถฟังข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวมาประกอบข้อเท็จจริงที่นำสืบในคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า สามารถนำขอเท็จจริงในคดีดังกล่าวมาผูกพันในคดีนี้ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share