แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการตามที่เห็นสมควร เมื่อโจทก์เห็นว่าพยานหลักฐานในสำนวนนี้มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลงโทษจำเลย การที่โจทก์ไม่สั่งให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำเด็กหญิง ส. และเด็กหญิง น. ไว้เป็นพยานและนำมาเบิกความต่อศาลจึงไม่เป็นพิรุธแต่ประการใด
การที่จำเลยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยครูใหญ่ จำเลยย่อมมีหน้าที่ปกครองดูแลผู้เสียหายซึ่งเป็นศิษย์ของจำเลย เมื่อจำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายจำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 80, 277 วรรคสอง (เดิม), 284 วรรคแรก, 285
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277 วรรคสอง, 284, 285 และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 2624/2543 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 277 วรรคสอง, 284 (ที่ถูก 284 วรรคแรก), 285 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานพยายามกระทำชำเราเด็กหญิงซึ่งมีอายุไม่เกินสิบสามปีซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแลตามหน้าที่ราชการ จำคุก 6 ปี 3 เดือน ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2577/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำลยได้หลอกลวงพาผู้เสียหายให้เข้าไปในห้องน้ำเพื่อการอนาจาร และได้พยายามกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมีอายุไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นศิษย์ที่อยู่ในความดูแลของตนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 หรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวโจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลา 15 นาฬิกาเศษ ขณะที่ผู้เสียหายและเด็กหญิง น. และเด็กหญิง ส. กำลังจะกลับบ้าน จำเลยเรียกให้ผู้เสียหายกับเด็กหญิง น. และเด็กหญิง ส. ไปช่วยกันเก็บขยะในโรงเรียน โดยบอกให้เด็กหญิง น. และเด็กหญิง ส. นำขยะไปทิ้งที่กองขยะใกล้กับอาคารเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ส่วนผู้เสียหายนำขยะไปทิ้งที่กองขยะใกล้กับห้องน้ำชาย แล้วจำเลยเดินตามผู้เสียหายไปและบอกให้ผู้เสียหายเข้าไปในห้องน้ำ จำเลยตามเข้าไปปิดประตูห้องน้ำและสั่งให้ผู้เสียหายถอดกางเกงในและถอดกระโปรงออก ต่อจากนั้นจำเลยก็ถอดกางเกงขายาวและกางเกงในของจำเลยออกแล้วจำเลยนั่งลงบนปากถังน้ำจับผู้เสียหายขึ้นนั่งตักหันหน้าเข้าหาจำเลยและเอาอวัยวะเพศของจำเลยมาใส่อวัยวะเพศของผู้เสียหายและถูไถจนน้ำอสุจิของจำเลยหลั่งเปื้อนหว่างขาของผู้เสียหาย จำเลยให้เงินผู้เสียหาย 5 บาท แล้วสั่งให้สวมเสื้อผ้ากลับบ้าน โดยกำชับไม่ให้บอกเล่าเรื่องราวให้ใครทราบ ในข้อนี้โจทก์มีเด็กหญิง อ. ซึ่งเป็นนักเรียนรุ่นพี่ของผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเวลาบ่ายพยานเข้าไปถ่ายปัสสาวะในห้องน้ำหญิงซึ่งอยู่ติดกับห้องน้ำชาย พยานได้ยินเสียงจำเลยสั่งให้ผู้เสียหายถอดกางเกงในและกระโปรงออก พยานจึงรีบออกจากห้องน้ำไปนำเก้าอี้มาปีนดูเหตุการณ์ในห้องน้ำทางช่องลม เห็นจำเลยเอาอวัยวะเพศถูไถอวัยเพศของผู้เสียหายนานสามสี่นาทีแล้วจำเลยให้เงินผู้เสียหาย 10 บาท และสั่งให้สวมเสื้อผ้าออกจากห้องน้ำไป พยานจึงไปเล่าเรื่องราวที่พบเห็นให้ พ. มารดาของพยานทราบ โดยโจทก์มี พ. เป็นพยานเบิกความประกอบคำเด็กหญิง อ. ว่า เด็กหญิง อ. ได้เล่าให้พยานฟังว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายในห้องน้ำที่โรงเรียนจริง นอกจากนี้โจทก์ยังมี ท. เป็นพยานเบิกความว่า ในตอนเย็นวันเกิดเหตุพยานได้ยินเสียงเด็กหญิง ส. คุยกับเพื่อนนักเรียนด้วยกันว่าจำเลยพาผู้เสียหายเข้าไปในห้องน้ำ พยานนึกสะกิดใจว่าจำเลยจะกระทำมิดีมิร้ายต่อเด็กหญิง ส. ในวันรุ่งขึ้นพยานจึงบอกเล่าเรื่องราวให้ น. ทราบ เมื่อ น. สอบถามผู้เสียหายจึงทราบว่าจำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายในห้องน้ำจริง ความข้อนี้โจทก์มี ด. และ น. เป็นพยานเบิกความสนับสนุน พยานโจทก์เหล่านี้ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน โดยเฉพาะผู้เสียหายและเด็กหญิง อ. มีอายุเพียง 7 ปีเศษ และ 10 ปี ตามลำดับ ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้เคยมีประสบการณ์ทางเพศมาก่อน น่าเชื่อว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความไปตามเหตุการณ์ที่ตนรู้เห็น โดยไม่ได้ปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษคำเบิกความของพยานโจทก์มีน้ำหนักน่ารับฟัง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับ ย. หลายเรื่อง และปักใจเชื่อว่า ย. น่าจะมีส่วนครอบงำให้ ด. กับ น. ปรุงแต่งเรื่องราวขึ้นใส่ร้ายปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ เห็นว่า ย. ไม่มีความสัมพันธ์เป็นพิเศษกับ ด. กับ น. จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ ด. กับ น. จะยอมตนเป็นเครื่องมือของ ย. หาเหตุกลั่นแกล้งให้ต้องรับโทษดังที่จำเลยฎีกา อนึ่ง เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่โจษขานกันทั่วทั้งหมู่บ้าน ซึ่งก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ชื่อเสียงของผู้เสียหายและครอบครัวอย่างร้ายแรงจึงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้เสียหายจะหาเหตุปรุงแต่งเรื่องราวขึ้นใส่ร้ายจำเลยด้วยเรื่องเช่นนี้ ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า คำเบิกความของเด็กหญิง อ. ไม่น่าเชื่อถือเพราะเด็กหญิง อ. เบิกความรับว่าช่องลมของห้องน้ำชายเป็นช่องทแยงขึ้นข้างบนจึงไม่น่าเชื่อว่าเด็กหญิง อ. จะมองเห็นเหตุการณ์ในห้องน้ำนั้น เด็กหญิง อ. เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ช่องลมดังกล่าวเว้นระยะห่างกันเป็นช่องกว้างพอที่จะเห็นเหตุการณ์ในห้องน้ำได้ คำเบิกความของพยานโจทก์ปากนี้จึงไม่เป็นพิรุธดังที่จำเลยฎีกา ที่จำเลยฎีกาว่า หากในวันเกิดเหตุผู้เสียหายเก็บขยะอยู่กับเด็กหญิง ส. และเด็กหญิง น. จริงโจทก์น่าจะนำบุคคลทั้งสองมาสอบเป็นพยานและนำมาเบิกความเป็นพยานต่อศาลแต่โจทก์หาได้ทำเช่นนั้นไม่ ดังนั้น การกล่าวอ้างและนำสืบของโจทก์จึงมีเหตุน่าสงสัยนั้น เห็นว่า การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการตามที่เห็นสมควร เมื่อโจทก์เห็นว่าพยานหลักฐานในสำนวนมีน้ำหนักเพียงพอที่จะลงโทษจำเลย การที่โจทก์ไม่สั่งให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำเด็กหญิง ส. และเด็กหญิง น. ไว้เป็นพยานและนำมาเบิกความต่อศาลจึงไม่เป็นพิรุธแต่ประการใด ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีพยานบุคคลหลายปากซึ่งเป็นที่น่าเชื่อถือต่างเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยทำหน้าที่จัดสถานที่สำหรับเลี้ยงส่งข้าราชการที่เกษียณอายุราชการ ซึ่งมีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยล่วงเกินทางเพศแก่ผู้เสียหายในช่วงเวลาสั้นๆ การที่จำเลยช่วยจัดสถานที่ในงานเลี้ยงจึงไม่ใช่เครื่องพิสูจน์ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดดังที่จำเลยฎีกา ที่จำเลยฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า จำเลยเป็นผู้ช่วยครูใหญ่โรงเรียนชุมชนบ้านโพนงาม – โพนสว่าง แต่ไม่ได้สอนในชั้นที่ผู้เสียหายเรียนนั้น เห็นว่า การที่จำเลยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยครูใหญ่ จำเลยย่อมมีหน้าที่ปกครองดูแลผู้เสียหายซึ่งเป็นศิษย์ของจำเลย เมื่อจำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน