แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฎีกาไว้ แต่บัดนี้จำเลยที่ 1ไม่ติดใจจะดำเนินคดีต่อไป จึงขอถอนฎีกาที่ยื่นไว้ โปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์แถลงท้ายคำร้องว่าไม่คัดค้าน
สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 5,624,353.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ19 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งสองจะชำระให้โจทก์เป็นงวด ๆงวดละไม่ต่ำกว่า 120,000 บาท ถ้าจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีจำเลยทั้งสองชำระเงินให้โจทก์เพียง 300,000 บาท แล้วผิดนัดไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์อีกเลย โจทก์จึงร้องขอต่อศาลขอให้ออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้โจทก์
วันที่ 26 มีนาคม 2530 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึด คือที่ดินของจำเลยที่ 1 แปลงที่ 4 และที่ 5ให้แก่ผู้แทนโจทก์ไปในราคา 420,000 บาท และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 แปลงที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้แก่ผู้ประมูลได้ไปในราคา1,800,000 บาท
วันที่ 2 เมษายน 2530 จำเลยทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่าราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดี ได้ขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1และที่ 2 ไปนั้น ต่ำกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินมากขอให้ระงับการขายทอดตลาดและดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำคัดค้านไม่ปรากฏเหตุตามกฎหมายที่จะเพิกถอนการขาย จึงไม่รับพิจารณา ยกคำร้องคัดค้าน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา (อันดับ 105)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องดังกล่าว
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ถอนฎีกาได้ จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา จำเลยที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาเพียง 200 บาท จึงไม่คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยที่ 1