แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายของ บ. พฤติการณ์ที่ บ. ได้อุปการะเลี้ยงดู กับให้การศึกษาเล่าเรียนแก่โจทก์ถือได้ว่า บ. ได้รับรองและแสดงออกว่าโจทก์เป็นบุตรของ บ. โจทก์จึงเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกแทนที่ บ.
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกโดยกล่าวว่าโจทก์เป็นบุตรของ บ.มีสิทธิรับมรดกแทนที่ บ. ศาลกะประเด็นไว้ว่า โจทก์เป็นบุตรของ บ. หรือไม่ เมื่อพิจารณาได้ความว่า โจทก์เป็นบุตรของ บ. ที่ บ. รับรองแล้ว ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์มีสิทธิรับมรดกแทนที่ บ.ได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
แม้โจทก์จะฟ้องคดีมรดกเกินกำหนดอายุความ 1 ปี แต่โจทก์นำสืบให้เห็นได้ว่า ก่อนโจทก์จะฟ้องจำเลยจำเลยยังคงยอมให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมรดกรายนี้ เป็นแต่เกี่ยงว่ายังไม่พร้อมที่จะเอาชื่อโจทก์ใส่ในโฉนดที่ดินรายพิพาทเท่านั้น ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ ไม่จำเป็นต้องทำบันทึกเป็นหลักฐานเพียงแต่โจทก์สืบให้เห็นพฤติการณ์ว่าจำเลยตกลงยินยอมให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมรดกรายนี้ ก็เพียงพอให้ถือว่าจำเลยได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ(อ้างฎีกาที่ 244/2511)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรของนายบุญชู ศิริวงษ์ และจำเลยทั้งห้าเป็นบุตรนางแปง ศิริวงษ์ เจ้ามรดก นางแปง ศิริวงษ์ ถึงแก่กรรมแล้ว มีทรัพย์มรดกคือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตกได้แก่โจทก์ผู้รับมรดกแทนที่นายบุญชู ศิริวงษ์ 1 ใน 6 ส่วน จำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกรายนี้โจทก์ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนรับโอนมรดกร่วมกันและแบ่งกันตามส่วนจำเลยรับว่าจะไปจดทะเบียนแบ่งให้ แต่ขอให้รอไปก่อน เพราะบางคนยังไม่พร้อมแต่ต่อมาจำเลยที่ 1 บ่ายเบี่ยงแล้วจำเลยที่ 1 ไปขอจดทะเบียนรับโอนมรดกต่อเจ้าพนักงานที่ดิน โดยไม่ได้ลงชื่อโจทก์ร่วมด้วย ขอบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าว 1 ใน 6 ส่วนให้โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นบุตรที่มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายบุญชู ศิริวงษ์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับตามฟ้องของโจทก์ เว้นแต่บ้านเลขที่ 11ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว เป็นของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่มรดกของนางแปง ศิริวงษ์
ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกะประเด็นหน้าที่นำสืบ 2 ประเด็น คือ
1. โจทก์เป็นบุตรนายบุญชู ศิริวงษ์ หรือไม่
2. อายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่นายบุญชูบิดาได้รับรองแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายบุญชู มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายบุญชู มรดกดังกล่าวจำเลยทุกคนมิได้ครอบครองแทนโจทก์ แต่จำเลยได้เคยตกลงยอมแบ่งมรดกให้โจทก์แม้โจทก์จะมิได้ครอบครองและฟ้องขอแบ่งหลังจากรู้ถึงความตายของนางแปงเจ้ามรดกเกิน 1 ปีก็ดี จำเลยก็ไม่อาจยกอายุความมรดกขึ้นยันโจทก์ได้ เพราะถือว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192 พิพากษาให้จำเลยทั้งห้าไปจดทะเบียนแบ่งมรดกให้โจทก์ 1 ใน 6 ส่วน
จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นบุตรนายบุญชูและพฤติการณ์ที่โจทก์นำสืบว่านายบุญชูได้ให้อุปการะเลี้ยงดู กับให้การศึกษาเล่าเรียนแก่โจทก์นั้น ถือได้ว่านายบุญชูได้รับรองและแสดงออกว่าโจทก์เป็นบุตรของตน โจทก์จึงเป็นทายาทโดยธรรม มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายบุญชูที่จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นกะประเด็นนำสืบไว้ว่าโจทก์เป็นบุตรนายบุญชูหรือไม่ ศาลจะวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายบุญชูด้วยไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้กะไว้นั้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกโดยกล่าวว่าโจทก์เป็นบุตรนายบุญชูมีสิทธิรับมรดกแทนที่นายบุญชู เมื่อพิจารณาได้ความว่าโจทก์เป็นบุตรนายบุญชูดังกล่าว ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายบุญชูได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
แม้โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกำหนด 1 ปีก็ดี แต่โจทก์นำสืบให้เห็นได้ว่าก่อนโจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ยังคงยอมให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมรดกรายนี้ เป็นแต่เกี่ยงว่ายังไม่พร้อมที่จะเอาชื่อโจทก์ใส่ในโฉนดที่ดินรายพิพาทเท่านั้น เช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสามดังกล่าวได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 192 ที่จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ฎีกาว่า การละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความจะต้องแสดงออกโดยชัดแจ้งว่ายินดีแบ่งให้โดยมีกรมการอำเภอบันทึกถ้อยคำโจทก์จำเลยไว้เป็นหลักฐานนั้นเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องทำบันทึกเป็นหลักฐาน เพียงแต่โจทก์สืบให้เห็นพฤติการณ์ว่าจำเลยตกลงยินยอมให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมรดกรายนี้ ก็เพียงพอให้ถือว่าจำเลยได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตามนัยฎีกาที่ 244/2511
พิพากษายืน